หน้าเว็บ

วิสัยทัศน์ กศน.แขวงบ้านพานถม เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี



ดาราจักร

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดาราจักรและเอกภพ

มนุษย์เป็นหนึ่งในสรรพชีวิต ที่มีการดำรงชีวิตอยู่บนพื้นดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า โลก ซึ่งมนุษย์มีความเชื่อว่า มีวิวัฒนาการที่ยาวไกล ด้วยเหตุผลของระยะเวลาอันยาวนาน ที่มนุษย์มีการจดบันทึกกันไว้ โดยการนำมาเปรียบเทียบกับช่วงอายุขัยของตนเอง ซึ่งไม่เกิน 100 ปี ต่อหนึ่งอายุขัยของหนึ่งชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว หนึ่งอายุขัยของมนุษย์นั้น เป็นเพียงจุดของเวลาสั้นและเล็กน้อยมาก จนเปรียบกันไม่ได้กับอายุของการเกิดของดวงดาวแต่ละดวง และระยะเวลายิ่งสั้นมากขึ้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับอายุของจักรวาล หรือยิ่งมีระยะเวลาสั้นมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเปรียบเทียบกับอายุของดาราจักร หรือเอกภพที่มีโลกใบนี้ลอยอยู่
มนุษย์จะมีความเข้าใจพอสังเขปกับ สุริยะจักรวาล ซึ่งเป็นจักรวาลหนึ่งที่บรรจุอยู่ภายในดาราจักรที่ชื่อว่า... ทางช้างเผือก ซึ่งมีรูปร่างเหมือนใบจักรรูปวงรี แต่มีส่วนกว้างมากกว่า จึงดูคล้ายวงกลม หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีความรีเพียงเล็กน้อย ตรงกลางของใบจักรนี้มีความหนาแน่นของพลังงานมากที่สุด จึงมีความสว่าง และมีพลังงานรวมกันอยู่ในนาม พลังงานบริสุทธิ์ มีเส้นสนามแม่เหล็กที่สานกันเป็นสายใย ร้อยเอากลุ่มวัตถุ และดวงดาวทั้งหมด ให้อยู่ในตำแหน่งไม่เคลื่อนปะปนกันมีพิกัดชัดเจน อีกทั้งจักรวาลน้อยใหญ่ที่บรรจุอยู่ทั้งหมดเหล่านั้น ก็ยังหมุนโคจรรอบพลังงานบริสุทธิ์ อยู่ในใบจักรที่เรียกว่า ดาราจักรทางช้างเผือก
การกำหนดหาตำแหน่งของศูนย์กลางพลังงานของดาราจักรทางช้างเผือก คือ ลากเส้นตรงจากดวงอาทิตย์ไปดาวฤกษ์ดวงที่สาม นับจากปลายหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ กำหนดให้ตำแหน่งของดาวดวงที่สามนี้ อยู่ที่เทียบเท่ากับ ๕ นาฬิกา ตรงกลางของเรือนนาฬิกาคือ ดวงอาทิตย์ จะได้ตำแหน่งของพลังงานบริสุทธิ์อยู่ที่ตำแหน่ง ๑๒ นาฬิกา ดังนั้นจะมองเห็นพลังงานบริสุทธิ์คือ ไข่แดงของไข่ดาว และไข่ขาวคือ พื้นที่จักรวาลต่างๆ ทั้งหมด ที่บรรจุอยู่ภายในดาราจักรแห่งนี้ ดาราจักรที่โลกอยู่นี้เรียกว่า ทางช้างเผือก หรือ กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ส่วนดาราจักรที่อยู่ด้านขวา ใกล้ที่สุดกับทางช้างเผือกของโลกใบนี้ คือ ดาราจักรอันดรอมดา (Andromeda) หลายๆ ดาราจักรร่วมกันเป็นเอกภพนั่นเอง
เอกภพ คือ พื้นที่ที่มีหลายๆ ดาราจักรรวมกันอยู่ มีขอบเขตกำหนดได้ด้วยจิต หรือคล้ายกับขอบของมิตินั่นเอง จะกว้างหรือแคบก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสมดุลของพลังงาน ทั้งภายในและภายนอกเอกภพนั้นๆ ดังนั้นถ้าจะเรียงให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เห็นควรเริ่มจากขอบเขตขนาดเล็กไปหาขนาดใหญ่ จากดาวเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่นี้ คือ
โลก  สุริยะจักรวาล  ดาราจักรทางช้างเผือก  เอกภพ  มหาเอกภพ
ดาราจักรต่างๆ ที่รวมกันเป็นเอกภพ

ณ การเริ่มต้นของเอกภพ
“ ไม่มีอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าอยู่ที่ไหน ”
ในห้วงอวกาศ ความเวิ้งว้าง คือ ความไม่มีรูปให้เห็น สิ่งที่มีอยู่ล้วนเป็นธาตุต้นกำเนิดแท้ๆ ในรูปของสิ่งที่ย่อยที่สุด คือ อณูของก๊าซที่รวมตัวเป็นก๊าซบรรจุอยู่ในอวกาศอย่างนั้น ก๊าซต่างๆ ปะปนกันโดยไม่มีแรงดูด ไม่มีแรงดึง ต่อมา กลุ่มก๊าซเหล่านี้ ล่องลอยด้วยมีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง กระทบกับมวลธาตุกลุ่มต่าง ๆ มีการเกิดการเสียดสีไปมา เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างธาตุ การเสียดสี และปฏิกิริยาเคมีมากขึ้น จนในที่สุดเกิดพลังงานความร้อนขึ้น ด้วยสาเหตุจากการสั่นสะเทือนของอณู จึงทำให้เกิดปฏิกิริยา “ฟิวชั่น (fusion)” มีการจุดระเบิดของปฏิกิริยาฟิวชั่นที่มีลักษณะการระเบิดอย่างต่อเนื่อง ผลของแรงระเบิดทำให้กลุ่มก๊าซต่างๆ อัดตัวกันเข้ากลายเป็นธาตุชนิดต่างๆ แต่ละชนิดเพิ่มขึ้น ระเบิดต่อเนื่องเป็นล้านๆ ปี จนที่สุดปฏิกิริยาฟิวชั่นลดลง จนกระทั่งหยุดการระเบิดเนื่องจากมวลธาตุที่เป็นมวลสารมาก จนส่งผลไปหยุดการสั่นสะเทือนของอณูก๊าซต่างๆ จึงมีอิทธิพลให้ปฏิกิริยาฟิวชั่นลดลง และหยุดในที่สุด ถึงจุดนี้มองดูมวลธาตุเหล่านั่นคือ มวลธาตุแท้ดั้งเดิม และเมื่อเริ่มเย็นลง พร้อมกับแรงอัดตัว เริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เมื่อใดที่ธาตุต่างๆเริ่มมีมวลที่แน่นขึ้น ย่อมเกิดแรงเหนี่ยวนำต่อกัน การระเบิดทำให้เกิดการหมุนเมื่อมีการหมุน จึงเกิดแรงดึงและแรงผลักดันระหว่างกันและกัน ทำให้เกิดการหมุนเหวี่ยงตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
การกำเนิดระบบสุริยะ

เมื่อแรกเริ่ม.. ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในสถานะของเหลวเหวี่ยงไปกระทบกับธาตุอื่นๆ เรื่อยๆ เกิดการรวมตัวกัน แล้วเย็นลงเป็นกลายเป็นกลุ่มดาวที่เกิดใหม่ บางดวงที่ยังคงสถานะเป็นแก๊ส และยังลุกไหม้จะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ในระยะแรกนั้น จะยังคงมีแรงระเบิดจากภายในอยู่เรื่อยๆ และมีแรงหมุนออกจากแกนกลาง ทั้งหมุนออกและหมุนเข้า แรงระเบิดส่งกลุ่มก๊าซและธาตุต่างๆ กระจายหลุดออกมา แล้วเริ่มเย็นตัวลงจนไม่มีแสงในตัวเอง แต่ยังมีความร้อนอยู่มาก กลายเป็นดาวเคราะห์ เมื่อดาวเคราะห์เย็นตัวลงแล้ว และอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ดวงใด ก็จะหมุนรอบดาวฤกษ์ดวงนั้น ด้วยแรงหนีศูนย์กลางที่สมดุลกับแรงดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง กลายเป็นดาวบริวารของดาวฤกษ์ที่เป็นดาวแม่ เจ้าทั้งหลายคงอยากรู้สิว่า แกนกลางดาราจักรพลังงานสูงสุดมาจากไหน แกนกลางดาราจักร นั้นกำเนิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการที่เอกภพเกิดการระเบิด และการรวมกันของก๊าซครั้งแรก ตามลักษณะปกติของการกำเนิดเอกภพ ในเวลานั้นการระเบิดจะเกิดขึ้นทั่วๆ ไป ทำให้มีการรวมตัวของธาตุและกลุ่มก๊าซต่างๆ เป็นกลุ่มก้อนกระจัดกระจายอยู่ทั่วๆ ไป ในที่สุดธาตุและกลุ่มก๊าซเหล่านั้น ก็จะเข้ารวมกันเป็นกลุ่มดาวต่างๆ จักรวาลต่างๆ แต่การระเบิดที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเหตุให้เกิดแรงเหวี่ยง ซึ่งทำให้ดวงดาวที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหลาย กระทบกระแทกกันเกิดระเบิดซ้ำๆ ขึ้นอีก ในการระเบิดแต่ละครั้งธาตุหยาบก็จะจับตัวกันกลายสภาพเป็นวัตถุ ส่วนของพลังงานบริสุทธิ์ก็จะเข้าจับรวมตัวกันเช่นเดียวกัน อัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ แน่นขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดจึงกลายเป็นกลุ่มพลังงานที่ใหญ่ที่สุด มีแรงดึงดูดมากที่สุดทำให้วัตถุทั้งหลาย จักรวาล ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ กลุ่มดาว กลุ่มก๊าซที่อยู่ในบริเวณนั้น ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูดของแกนพลังงานสูงสุดกลุ่มนั้น ทำให้เกิดสภาวะรวมตัวของดาราจักรขึ้น โดยมีแกนพลังงานสูงสุดเป็นแกนแกนกลางดาราจักร ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า แกนกลางดาราจักรเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการระเบิดของก๊าซต้นธาตุบริสุทธิ์เหล่านั้นนั่นเอง หากถามว่าดาราจักรหลายๆ ดาราจักรเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ตอบได้ว่าไม่พร้อมกัน
เอกภพ คือ ที่ว่างปราศจากสิ่งใด ที่อยู่ในมิติเวลาหนึ่ง มีความสามารถขยายและหดตามอายุและวัฏจักรของมัน ตามวิธีนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ดาราจักรมีหมดอายุได้ เช่น อันโดรเมดา เมื่อหมดอายุแกนกลางดาราจักรจะใช้งานไม่ได้ แม้มีพลังงาน ต้องรวมกับดาราจักรใกล้เคียง จึงเป็นเหตุให้เกิดการรวมเชื่อมต่อกัน ระหว่างดาราจักรทางช้างเผือกกับอันดรอมดา เป็นต้น
ภาพที่ 1 พลังงานบริสุทธิ์รวมจับตัวเป็นจิตที่ตรงศูนย์กลางที่อยู่นั้นเป็นสภาพ สุญฺญตา
การทำความเข้าใจอาจจะทำได้ยากเกินไป จึงเสนอตัวอย่างความเป็นไปของดาราจักรที่ชื่อว่า ดาราจักรอุตตรเกษตร เริ่มต้นเมื่อดาราจักรสมบูรณ์ด้วยพลังงาน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเริ่มอุบัติขึ้นบนดวงดาว พลังงานเริ่มกลับคืนสิ่งมีชีวิตต่ำค่อยๆ ขยับสูงขึ้นด้วยความสมดุลของธรรมชาติในระบบการวิวัฒนาการ นับได้ว่าตั้งแต่เริ่มของการอุบัติขึ้นของสิ่งที่มีชีวิตนั่น หมายถึง การเริ่มต้นของพลังงานเพื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่ความเป็นพลังงานบริสุทธิ์ดังเดิม ในที่สุด หมายสู่ความประภัสสรเข้าที่เดิม การเกิดแรงระเบิดที่ผลักให้มวลรวมตัวกัน เกิดพลังงานบริสุทธิ์รวมจับตัวเป็นจิตที่ตรงศูนย์กลางที่อยู่นั้นเป็นสภาพ สุญฺญตา (รูปที่ ๑) จิตที่พัฒนาขึ้นแล้วมีความไม่รู้ จึงเป็นธรรมชาติที่ต้องเอาอวิชชาออกจากจิตเหล่านี้ เพื่อการกลับคืนสู่พลังงานรวมตัวเป็นพลังงาน ไม่คงเหลือสภาพมิติ ภพภูมิไม่มี คงเหลือแต่มนุษย์รุ่นสุดท้าย เป็นมนุษย์ที่มีจิตสูงทั้งนั้น เป็นที่ขุดรื้อของวิญญาณสู่หนทางถูกต้อง จะสละสภาพกายหยาบเมื่อหมดอายุขัย เคลื่อนจิตเข้าสู่พลังงานสูงสุด ทุกอย่างคืนสู่ที่เดิมแกนกลางดาราจักร ในสภาวะปัจจุบันของโลกใบนี้ การขาดสมดุลเช่นนี้ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในมิติวัตถุต่างๆ ขาดจากการปรับให้เกิดความสมดุลได้ ดังนั้นพลังชีวิตเริ่มสลาย การสลายแรงยึดโยงกรรม ส่งผลให้เกิดสภาวะอายุของธาตุขาดการเหนี่ยวนำ พลังงานยึดโยงก็สลายตัวออก ธาตุผสมแยกตัวเป็นธาตุเดิม ทุกอย่างก็สลายตาม เปลี่ยนสถานะตัวเอง อย่างเช่นดาวฤกษ์มีการยุบตัวเรียกว่า การดับ เกิดโพรงหลุมคล้ายหลุมดำดึงดูดมวลต่างๆ ให้กลับคืนสู่ความสมดุล ส่วนหนึ่งเหลือแต่ซากเป็นฝุ่นละออง ทุกอย่างเหมือนฉายภาพยนตร์ย้อนกลับ กลับคืนเป็นกลุ่มแก๊ส กลับคืนสู่แกนกลางดาราจักรเหลือแต่ฝุ่น เมื่อมีพลังงานสมบูรณ์กลับเข้าสู่ตนมากขึ้น การหมุนจากแกนกลางแกนกลางดาราจักรยังมีต่อเนื่อง ความสมดุลคืนพลังงานขาวและพลังงานดำที่อยู่ร่วมกัน หลุมดำกับพลังงานบริสุทธิ์ จะกลับคืนพลังงานบริสุทธิ์มากกว่าความบริสุทธิ์มากกว่า ถามว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ตอบว่าเพราะเทวดารุ่นที่หนึ่งมีความสามารถปฏิบัติงานสำเร็จได้ นี้แหละคือความสำเร็จของเทวดารุ่นที่หนึ่ง เมื่อพลังงานบริสุทธิ์กลับคืนแกนดาราจักรมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความไม่สมดุลการระเบิดก็เกิดขึ้นอีก การระเบิดของธาตุและพลังงาน คือ พลังงานที่ประกอบเป็นของหยาบ พลังงานบริสุทธิ์ส่วนด้านนอกแกนกลางดาราจักรจะมีลักษณะที่หยาบกว่าด้านใน ส่วนด้านในของแกนดาราจักรจะบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ เป็นที่จุดกำเนิดของธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ คือ บ้านของเทวดายังไง การระเบิดพลังงานธาตุในรูปของแก๊สจะค่อยๆ รวมตัวกัน เริ่มมีความร้อนเกิดขึ้นจากการเสียดสี แล้วเกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นเป็นดาวฤกษ์ เมื่อความร้อนต่ำลงจะเริ่มควบแน่นเป็นของเหลวรวมกับธาตุอื่น เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเป็นดวงดาวต่างๆ ในดาราจักรมีกลุ่มแก๊สที่เรียกว่า เนบิวลา แก๊สพวกนี้จะก่อกำเนิดดาวดวงใหม่ๆ จะกระจายไปตามดาวต่างๆ ดาวเคราะห์มีมวลหนักแรงหมุนน้อยกว่าดาวฤกษ์ จึงเป็นบริวารของดาวฤกษ์ทำให้เกิดระบบสุริยะ แต่อยู่ในแรงดึงดูดเพื่อการจัดสมดุลของแกนกลางดาราจักร เหมือนแขนของพ่อกับแม่เรียก ดาราจักรใหม่ แต่เป็นดาราจักรใหม่ที่เกิดทับดาราจักรเก่าเวลาต่างกัน แกนกลางดาราจักรเดียวกัน จุดกำเนิดเดียวกันหมด มีอาณาเขตตามกำลังของแกนกลางดาราจักรที่จะเอื้อมไปถึง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมิติเวลาแห่งอาณาจักรขึ้น จากอาณาจักรเก่า “อุตตรเกษตร” เป็นอาณาจักรใหม่ “ทางช้างเผือก” ในปัจจุบันตามเวลาของมนุษย์ที่กำหนดบนโลกนี้

กศน.แขวงบ้านพานถม 110 ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. 10200 โทรศัพท์ 0-2280-8348 โทรสาร 0-2280-8349 มือถือ 083-270-1720