หน้าเว็บ

วิสัยทัศน์ กศน.แขวงบ้านพานถม เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิชาวิทยาศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิชาวิทยาศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด

ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชน์อย่างไร

1. ด้านธรณีวิทยา มีการใช้ C-14 คำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ หรืออายุของซากดึกดำบรรพ์ซึ่งหาได้ดังนี้ ในบรรยากาศมี C-14 ซึ่งเกิดจากไนโตรเจน รวมตัวกับนิวตรอนจากรังสีคอสมิกจนเกิดปฏิกิริยา แล้ว C-14 ที่เกิดขึ้นจะทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แล้วผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช และสัตว์กินพืช คนกินสัตว์และพืช ในขณะที่พืชหรือสัตว์ยังมีชีวิตอยู่ C-14 จะถูกรับเข้าไปและขับออกตลอดเวลา เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง การรับ C-14 ก็จะสิ้นสุดลงและมีการสลายตัวทำให้ปริมาณลดลงเรื่อยๆ ตามครึ่งชีวิตของ C-14 ซึ่งเท่ากับ 5730 ปี 

ดังนั้น ถ้าทราบอัตราการสลายตัวของ C-14 ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และทราบอัตราการสลายตัวในขณะที่ต้องการคำนวณอายุวัตถุนั้น ก็สามารถทำนายอายุได้ เช่น ซากสัตว์โบราณชนิดหนึ่งมีอัตราการสลายตัวของ C-14 ลดลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิมขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจาก C-14 มีครึ่งขีวิต 5730 ปี จึงอาจสรุปได้ว่าซากสัตว์โบราณชนิดนั้นมีอายุประมาณ 5730 ปี

2. ด้านการแพทย์ ใช้รักษาโรคมะเร็ง ในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด กระทำได้โดยการฉายรังสีแกมมาที่ได้จาก โคบอลต์-60 เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ แล้วยังใช้โซเดียม-24 ที่อยู่ในรูปของ NaCl ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด เพื่อตรวจการไหลเวียนของโลหิต โดย โซเดียม-24 จะสลายให้รังสีบีตาซึ่งสามารถตรวจวัดได้ และสามารถบอกได้ว่ามีการตีบตันของเส้นเลือดหรือไม่

3. ด้านเกษตรกรรม มีการใช้ธาตุกัมมันตรังสีติดตามระยะเวลาการหมุนเวียนแร่ธาตุในพืช โดยเริ่มต้นจากการดูดซึมที่รากจนกระทั่งถึงการคายออกที่ใบ หรือใช้ศึกษาความต้องการแร่ธาตุของพืช 

4. ด้านอุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมการผลิตแผ่นโลหะ จะใช้ประโยชน์จากกัมมันตภาพรังสีในการควบคุมการรีดแผ่นโลหะ เพื่อให้ได้ความหนาสม่ำเสมอตลอดแผ่น โดยใช้รังสีบีตายิงผ่านแนวตั้งฉากกับแผ่นโลหะที่รีดแล้ว แล้ววัดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านแผ่นโลหะออกมาด้วยเครื่องวัดรังสี ถ้าความหนาของแผ่นโลหะที่รีดแล้วผิดไปจากความหนาที่ตั้งไว้ เครื่องวัดรังสีจะส่งสัญญาณไปควบคุมความหนา โดยสั่งให้มอเตอร์กดหรือผ่อนลูกกลิ้ง เพื่อให้ได้ความหนาตามต้องการ

ในอุตสาหกรรมการผลิตถังแก๊ส อุตสาหกรรมก่อสร้าง การเชื่อมต่อท่อส่งน้ำมันหรือแก๊สจำเป็นต้องตรวจสอบความเรียบร้อยในการเชื่อต่อโลหะ เพื่อต้องการดูว่าการเชื่อมต่อนั้นเหนียวแน่นดีหรือไม่ วิธีการตรวจสอบทำได้โดยใช้รังสีแกมมายิงผ่านบริเวณการเชื่อมต่อ ซึ่งอีกด้านหนึ่งจะมีฟิล์มมารับรังสีแกมมาที่ทะลุผ่านออกมา ภาพการเชื่อมต่อที่ปรากฎบนฟิล์ม จะสามารถบอกได้ว่าการเชื่อมต่อนั้นเรียบร้อยหรือไม่
5. ด้านพลังงาน มีการใช้พลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของยูเรีเนียม-238 (U-238) ต้มน้ำให้กลายเป็นไอ แล้วผ่านไอน้ำไปหมุนกังหัน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
6. ด้านการถนอมอาหาร ใช้รังสีแกมมาของธาตุโคบอลต์-60 (Co–60) ปริมาณที่พอเหมาะใช้ทำลายแบคทีเรียในอาหาร จึงช่วยให้เก็บรักษาอาหารไว้ได้นานขึ้น

อยากรู้ว่าทองคำเกิดจากธาตุอะไร

ถ้าทองบริสุทธิ์เลย จะเป็นธาตุAu ครับ
แต่ในเหมืองตอนที่ขุดขึ้นมาจะเป็นสารประกอบมากกว่า

แต่โลหะส่วนมากจะเป็นสารประกอบที่มีออกซิเจนอยู่
แต่ทองเป็นโลหะที่เฉื่อยมากๆ จึงทำให้ออกซิเจนไม่ออกซิไดซ์ทอง
ฉะนั้นเราจะไม่เคยเห็นสนิมของทองเลย

แต่ที่ทองรูปพรรณสามารถหมองได้
เป็นเพราะทองบริสุทธิ์ เป็นโลหะที่นิ่มมาก
จึงต้องผสมโลหะชนิดอื่นเพื่อให้ทองคงรูป

ขั้วโลกเหนือ ทำไมมืดเกือบตลอดทั้งปีครับ

เพราะดวงอาทิตย์ส่องแสงตั้งฉากกับโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตร บริเวณนี้ใดรับแสงตรง ๆ ส่วนขั้วโลกแสงกระทบเป็นแนวเฉียง แสงจึงอ่อน ส่วนที่สว่างนิดเดียวไม่นานก็มืด เพราะแกนโลกหมุนเอียง บริเวณขั้วโลกทั้งสองจึงเห็นดวงอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมงในฤดูร้อน เรียกว่าพระอาทิตย์เที่ยงคืน และไม่เห็นพระอาทิตย์เลยในฤดูหนาว

คุณค่าสารอาหารในกล้วยหนึ่งผล




กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ในกล้วย 1 ผล
มีโปรตีนมากกว่าแอ๊ปเปิ้ล 4 เท่า มีวิตามินและเกลือแร่ เช่น วิตาซี วิตามินเอ โพรแทสเซียม แมกนีเซียมและยังมีเส้นใยอาหารช่วยเรื่องการขับถ่ายได้เป็นอย่างดีแต่เราจะเลือกกินกล้วยอะไรดีหากกล้วยแต่ละชนิดนั้นมีน้ำหนักเท่ากัน






กล้วยหอมทองมีโปรตีนสูง ช่วยให้ร่างกายเติบโตและแข็งแรง 

กล้วยหักมุกมีแคลเซียมสูง เสริมสร้างกระดูกและฟัน 

กล้วยน้ำว้ามีธาตุเหล็กสูง ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง 

กล้วยไข่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยต้านมะเร็ง 

กล้วยเล็บมือนางมีฟอสฟอรัสสูง ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง 

ส่วนใครที่มีปัญหาท้องผูก ลองกินกล้วยสุก 2-4 ผล จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เพราะกล้วยสุกมีสารเพกทินซึ่งเป็นยาระบายอ่อนๆ แต่ถ้าแก้ท้องเสีย ควรกินกล้วยดิบฝาน บางๆเพราะมีสารแทนนิน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อที่ทำให้เกิดท้องเสียได้ 

บางคนที่ชอบกินกล้วยคำโตๆ เคี้ยวไม่ละเอียด นอกจากจะทำให้ติดคอแล้ว 

ยังอาจทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ เพราะในเนื้อกล้วยมีแป้งอยู่ร้อยละ 20-25 การเคี้ยวไม่ละเอียด จึงทำให้กระเพาะอาหารและน้ำย่อยต้องทำงานหนักโดยไม่จำเป็น 

คนไทยโบราณนิยมขูดเนื้อกล้วยบดละเอียด ป้อนให้เด็กทารกกินเพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย ส่วนคนหนุ่มสาว กล้วยก็เหมาะเป็นอาหารลดน้ำหนัก เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูงพอๆกับมันฝรั่ง แต่มีไขมันและโคเลสเตอรอลต่ำ 

กล้วยจึงเป็นผลไม้มากคุณค่าที่น่าซื้อหาติดบ้านไว้กินรองท้องเวลาหิวได้เป็นอย่างดี 

"หมามุ่ย" กระตุ้นการสร้างน้ำอสุจิ



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนุนกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยา อภัยภูเบศร ศึกษาวิจัยสรรพคุณสมุนไพรหมามุ่ย เป็นยาสมัยใหม่รักษาโรคพาร์กินสันและภาวะมีบุตรยาก ผลักดันสมุนไพรไทยพื้นบ้าน ขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมยาไทย มุ่งสู่เศรษฐกิจโลก

นายวิทยา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนการพัฒนาสมุนไพรไทย เป็นทางเลือกให้ประชาชนในการรักษาพยาบาล ขณะนี้มี สมุนไพรถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วเกือบ 100 รายการ มูลค่าการใช้ในสถานบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปีละกว่า 300 ล้านบาท และมีนโยบายพัฒนายาสมุนไพรไทยที่มีนับหมื่นชนิด เพื่อนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บำรุงร่างกาย ซึ่งล่าสุดมีข้อมูลวิจัยจากประเทศอินเดียพบว่าหมามุ่ยซึ่งเป็นพืชเถา พบมากในประเทศไทย มีสารที่สามารถใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ที่เป็น โรคที่มีความเสื่อมของระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ทั่วโลกพบผู้ป่วยประมาณร้อยละ 1 หรือ 60 ล้านคน ส่วนคนไทยพบประมาณ 5-6 ล้านคน พบมากในผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ยังมีผลกระตุ้นการสร้างน้ำอสุจิ ใช้รักษาภาวะมีบุตรยากจากปัญหาความผิดปกติของการผลิตน้ำอสุจิในผู้ชาย ซึ่งขณะนี้มีครอบ ครัวไทยจำนวนมากที่ประสบปัญหามีบุตรยาก ที่พบได้ประมาณร้อยละ 15 ของครอบครัวไทย และต้องพึ่งการแพทย์สมัยใหม่ที่ค่าใช้ จ่ายสูงมาก ดังนั้นจะให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทำ การศึกษาวิจัยและพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์และทางคลินิก เพื่อขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อาจทำเป็น 2 รูปแบบคือยารักษาโรคและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มั่นใจว่าพืชหมามุ่ยนี้จะเป็นข่าวดีของคนทั่วโลกที่มีปัญหา 2 เรื่องนี้ ซึ่งจะ เป็นการต่อยอดเศรษฐกิจยาไทยเชิงอุตสาหกรรม จะเร่งศึกษาให้เร็วที่สุด

ที่ผ่านมา ตำราโบราณ มีหมอพื้นบ้านไทยใช้เมล็ดหมามุ่ย ใช้รักษาภาวะมีบุตรยากใน 2 ลักษณะคือ นำมาคั่ว บดคล้ายๆชาชง กินวันละ 5 กรัมหรือประมาณ 25 เมล็ด วันละ 1 ครั้งติดต่อกันนาน 3 เดือน และนึ่งเมล็ดหมามุ่ย 5 เมล็ดพร้อมกับข้าวเหนียว กินวันละ 3 ครั้ง เห็นผล ภายใน 7 วัน

ประวัตินักวิทยาศาสตร์ : โรเบิร์ต บอยล์


ประวัติส่วนตัว โรเบิร์ต บอยล์ 

เกิด วันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1627 ที่เมืองมันสเตอร์ (Munster) ประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)


เสียชีวิต วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1691 กรุงลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ (England)


ผลงาน - ตั้งกฎของบอยล์ (Boyle's Law) ว่าด้วยเรื่องความดันอากาศ

ประวัติความเป็นมา 


บอยล์เป็นนักเคมีคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้เป็นผู้บุกเบิกงานด้านเคมีอย่างจริงจัง ผลงานของเขา มีประโยชน์มากต่อวงการวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่า กรค้นพบธาตุ การเผาไหม้ของโลหะ อีกทั้งเขาเป็นผู้ปรับปรุงเทอร์มอมิเตอร์ให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และประดิษฐ์หลอดแก้วสุญญากาศ ไม่เฉพาะงานด้านเคมีเท่านั้นที่สร้างชื่อเสียงให้กับบอยล์ งานด้านฟิสิกส์

เขาก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องกฎของบอยล์ เป็นทฤษฎีที่สร้างคุณประโยชน์มากมาย และ เป็นรากฐานของการประดิษฐ์เครื่องยนต์ชนิดต่าง ๆ หลายชนิดเช่น เครื่องจักรไอน้ำ เครื่องพ่นลม เครื่องยนต์ที่ใช้แรงกดดันของก๊าซ และเครื่องยนต์แบบจุดระเบิดภายใน

บอยล์เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1627 ที่เมืองมันสเตอร์ ประเทศไอร์แลนด์ บอยล์เป็นบุตรชายคนสุดท้ายของท่านเอิร์ล แห่งคอร์ด (Earl of Cord) ซึ่งเป็นขุนนางผู้มั่งคั่ง ทำให้บอยล์มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี และมีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าทาง วิทยาศาสตร์ได้อย่างเต็มที่เนื่องจากบิดาของเขาก็ชื่นชอบเรื่องวิทยาศาสตร์เช่นกัน บอยล์ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่วิทยาลัยอีตัน (Eton College) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนนี้เขาได้ศึกษาภาษาอังกฤษ ละติน และ ฝรั่งเศส นอกจากนี้เขาได้เรียนภาษากรีก และฮิบรูด้วย เมื่อบอยล์อายุได้ 14 ปี บิดาของเขาได้ส่งเขาไปเรียนภาษาอิตาลี ที่ประเทศ อิตาลี ระหว่างที่บอยล์ได้เรียนที่ประเทศอิตาลี เขามีโอกาสได้อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มหนึ่งชื่อว่า เรื่องประหลาดของ นักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขียนโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ทำให้เขามีความสนใจใน

เรื่องวิทยาศาสตร์ และตั้งใจว่าจะต้องเรียนต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป บอยล์เดินทางกลับประเทศไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1644 ปรากฏว่าบิดาของเขาเสียชีวิตพร้อมกับทิ้งมรดกเป็นที่ดิน และปราสาทในสตอลบริดจ์เซทไซร์ (Stallbridge Doe Setshire) ไว้ให้เขา บอยล์ได้เดินทางกลับไปที่ประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เพื่อศึกษาต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด (Oxfoerd University)


หลังจากจบการศึกษา บอยล์ได้กลับบ้านและทำการทดลองค้นคว้าอย่างจริงจัง งานชิ้นแรดที่บอยล์ให้ความสนใจคือ ผลึก เพราะบอยล์ต้องการหาส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ จากการศึกษาบอยล์พบว่า ผลึกบางชนิดเกิดจากส่วนผสมและสารประกอบทาง เคมีบางชนิด ต่อมาเขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเครื่องวัดความกดอากาศ จากผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน โดยเริ่มต้น

จากเทอร์มอมิเตอร์ของกาลิเลโอ แต่เทอร์มอมิเตอร์ชนิดนี้ใช้น้ำในการวัดซึ่งยังวัดอุณหภูมิได้ไม่ถูกต้องแม่นยำนัก บอยล์ได้นำ เทอร์มอมิเตอร์ของกาลิเลโอมาปรับปรุงให้มีประสิทะภาพมากขึ้นโดยใช้ปรอทแทนน้ำ

ต่อมาบอยล์ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความกดอากาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในเวลานั้นว่า อากาศมีน้ำหนักหรือไม่ และสภาพไร้อากาศหรือสุญญากาศเป็นไปได้หรือไม่ ในปี ค.ศ. 1657 บอยล์ได้อ่านหนังสือของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันท่านหนึ่ง ชื่อว่าออตโต ฟอน เกริเก (Otto von Guericke) เกี่ยวกับเครื่องสูบอากาศที่เขาประดิษฐ์ขึ้น บอยล์ได้นำเครื่องสูบอากาศของ

เกริเกมาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับความดันอากาศ โดยร่วมมือกับโรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) และในปี ค.ศ. 1659 เขาก็สามารถ ปรับปรุงเครื่องสูบอากาศของเกริเกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้นำเครื่องสูบอากาศนี้มาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างก๊าซกับความดันนอกจากนี้เขาได้สร้างห้องทดลองสุญญากาศขึ้นด้วย

ในการทดลองครั้งแรกบอยล์ได้นำบารอมิเตอร์ใส่ลงไปในห้องทดลองสุญญากาศ จากนั้นเขาจึงใช้เครื่องสูบอากาศสูบอากาศ ในห้องทดลองออกทีละน้อย ๆ ปรากฏว่าปรอทในบารอมิเตอร์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งสูบอากาศออกไปมากเท่าไรปรอทก็ยิ่งสูงขึ้น นอกจากนี้บอยล์ยังได้แขวนนาฬิกาไว้ในห้องนั้น เมื่อนาฬิกามีเสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียวก็หายไป แสดงให้เห็นว่าเมื่อไม่มีอากาศ เสียงก็ไม่สามารถดังได้ จากการทดลองครั้งนี้บอยล์สรุปว่าอากาศมีแรงดัน และเสียงไม่สามารถเดินทางได้ในที่ที่ไม่มีอากาศ ผลจากการทดลองครั้งนี้บอยล์ได้นำมาตั้งเป็นกฎชื่อว่า กฎของบอยล์ (Boyle's Law) กฎนี้กล่าวว่า ถ้าปริมาตรของก๊าซคงที่ อุณหภูมิของก๊าซจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นปฏิภาคกลับกันกับความดัน หรือถ้าปริมาตรของก๊าซคงที่ ความดันคงที่ อุณหภูมิก็จะคงที่ สามารถสรุปกฎข้อนี้ได้ว่าปริมาตรของก๊าซจะเพิ่ม - ลด ในอัตราส่วนที่เท่ากันเสมอ เช่น ถ้าเพิ่มความกดดันขึ้นเป็น 1 เท่าปริมาตร

ของอากาศจะลดลง 1 เท่า แต่ถ้าเพิ่มความกดดันเป็น 2 เท่า ปริมาตรของอากาศจะลดลงเป็น 2 เท่า ซึ่งกฎของบอยล์เป็นกฎที่ได้รับ การยกย่องกันมากในวงการฟิสิกส์ บอยล์ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ในปี ค.ศ. 1660 โดยใช้ชื่อหนังสือว่า New Experiment Physic Mechanical, Touching the spring of the Air, and its Effects เมื่อหนังสือเผยแพร่ออกไปกลับได้การ ตอบรับที่ไม่ดีนัก คนส่วนใหญ่มักเห็นว่ากฎของบอยล์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงทำแสดงการทดลองครั้งใหญ่เพื่อแสดงให้คนได้เห็นความจริงข้อนี้ โดยการสร้างหลอดแก้วรูปตัวเจที่มีขนาด ความสูงถึง 12 ฟุต ส่วนปลายที่งอขึ้นมีความสูง 5 ฟุต ปิดทางส่วนปลายไว้ แล้วนำไปติดตั้งไว้บริเวณบันไดบ้านของเขา จากนั้น จึงเริ่มทำการทดลองโดยการเทปรอทใส่ลงในหลอดแก้ว ในขั้นต้นปริมาณปรอทอยู่ในระดับที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง จากนั้นจึงเทปรอท

เข้าไปในส่วนบนแล้วรีบผิดฝา และทำซ้ำเหมือนเช่นนั้นอีกหลายครั้งจนเห็นได้ชัดเจนว่าปรอทในข้างที่งอขึ้นมีระดับของปรอท สูงกว่าอีกด้านหนึ่ง ผลการทดลองครั้งนี้ทำให้ผู้ที่มาเฝ้าดูการทดลองครั้งนี้เห็นและเข้าใจในกฎของบอยล์

ในปี ค.ศ. 1661 บอยล์ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า The Sceptical Chemist ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านทฤษฎีของ อาริสโตเติลในเรื่องของส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ อาริสโตเติลกล่าวว่าธาตุทั้งหลายในโลกประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม และไฟ รวมถึงทฤษฎีของพาราเซลลัสที่ว่าธาตุประกอบไปด้วย ปรอท กำมะถัน และเกลือ บอยล์มีความเชื่อว่าธาตุทั้งหลายในโลก 

ประกอบไปด้วยสารประกอบที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องได้รับการทดสอบเสียก่อนจึงจะรู้ได้ว่าธาตุชนิดนั้นประกอบไปด้วยสารชนิดใดบ้าง ไม่ใช่ตามทฤษฎีของอาริสโตเติลและพาราเซลลัส หนังสือของบอยล์เล่มนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากผู้คนที่เคยมี ความเชื่อถือในทฤษฎีเก่าของอาริสโตเติล เมื่อได้อ่านหนังสือของบอยล์แล้วก็มีความคิดที่เปลีรี่ยนไป ต่อมานักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได ้ นำวิธีการของบอยล์ไปทดลอง ก็สามารถค้นพบธาตุใหม่ ๆ อีกจำนวนกว่า 100 ชนิด

บอยล์ไม่ได้หยุดยั้งการค้นคว้าของเขาเพียงเท่านี้ เขายังทำการทดลองวิทยาศาสตร์ในแขนงอื่น ๆ อีกหลายสาขา ไม่ว่าจะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตและเสียง ในเรื่องของความเร็วของเสียงตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงปลายทาง และโครงสร้างของผลึกต่าง ๆ ส่วนวิชาเคมีบอยล์ก็ยังให้ความสนใจและทำการทดลองค้นคว้าอยู่เสมอ ซึ่งการทดลองครั้งหนึ่งของบอยล์ เกือบทำให้เขาค้นพบ ก๊าซออกซิเจน แต่เขาก็พบว่าสัตว์รวมถึงมนุษย์ด้วยไม่สามารถขาดอากาศได้ เพราะเมื่อใดที่ขาดอากาศก็จะต้องเสียชีวิต และกำมะถัน ก็ไม่สามารถลุกไหม้ในสภาพสุญญากาศได้

ในปี ค.ศ. 1666 บอยล์ได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า Hydrostatics Paradoxes ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความถ่วง จำเพาะของวัตถุ บอยล์ได้ศึกษาเกี่ยวกับอะตอมของสาร เขาได้สรุปสมบัติอะตอมของสารไว้ว่า อะตอมของสารต่างชนิดกันจะมี การเคลื่อนที่แตกต่างกัน และได้ตีพิมพ์ผลงานออกมาอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Original of Forms Qualities According to the Corpuscular Philosophy

บอยล์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นเคมี เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาเคมี ด้านฟิสิกส์ก็ได้รับการยกย่องมากจากการค้นพบกฎของบอยล์ และการประดิษฐ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์อย่างเทอร์มอมิเตอร์ และ บารอมิเตอร์ บอยล์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1691 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 


ข้อมูลโดย ( นาย วีรวัตน์ หงษ์ผ้วย )

เลโอนาร์โด ดา วินชี

                   

ชื่อ เลโอนาร์โด ดา วินชี

ประวัติ เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย และ โมนา ลิซ่า งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา

ผลงาน โมนาลิซ่า ภาพวาดที่อาจจะมีชื่อเสียงที่สุดในโลก

  ภาพเหมือนตัวเอง   

5413-00093-6 นายมานพ สุวรรณเพชร

เคล็ดลับทำของทอดไม่อมน้ำมัน



บทความสาระน่ารู้เรื่อง








สำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญแล้ว การทำอาหารเมนูทอดมักจะเกิดปัญหาอมน้ำมัน วันนี้มีเคล็ดลับการทอดอาหารให้กรอบอร่อยไม่อมน้ำมันมาฝาก

อาหารเมนูทอด เป็นที่ชื่นชอบของใครหลาย ๆ คนก็จริง แต่ก็มีอันตรายด้วย จากการที่ได้รับน้ำมันมากเกินไป เพราะฉะนั้นเวลาทำอาหารประเภทนี้ จึงควรรู้เคล็ดลับการประกอบอาหารไม่ให้อมน้ำมัน เพื่อรสชาติที่อร่อย และสุขภาพที่ดี

โดยพระเอกของงานนี้ก็คือ "น้ำส้มสายชู" เพียงหยดน้ำส้มสายชูลงในน้ำมันเล็กน้อย จะทำให้เมนูทอดมีรสชาติดีขึ้น ไม่เลี่ยน และไม่อมน้ำมันด้วย ส่วนถ้าใครอยากได้อาหารทอดที่กรอบนาน ไม่เหม็นหืน แนะนำให้ใช้น้ำมันเมล็ดฝ้ายในการทอด เพราะน้ำมันชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยให้อาหารทอดเก็บไว้ได้นาน แถมยังมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำอีกด้วย

ส่วนเคล็ดลับเวลาประกอบอาหารก็คือ ต้องรอให้น้ำมันร้อนจัดเสียก่อน จึงค่อยใส่อาหารที่ต้องการลงไปทอด เพราะถ้าทอดนาน ๆ แล้วใช้ไฟอ่อน อาหารจะอมน้ำมัน และเมื่อสุกแล้วควรจะมีตะแกรงเพื่อให้น้ำมันหยดออกจากอาหาร และใช้กระดาษซับน้ำมันด้วยก็จะดีมาก

อีกอย่างหนึ่งคือ คนที่ชอบพลิกอาหารไปมาระหว่างทอดโดยไม่จำเป็น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการอมน้ำมัน ควรรอให้สุกเหลืองไปด้านหนึ่งก่อน ค่อยพลิกกลับมาทอดอีกด้าน

แถมให้นิดนึงสำหรับคนที่ชอบทอดเฟรนช์ฟรายทานเอง ซึ่งมักประสบกับปัญหาอมน้ำมันอยู่บ่อย ๆ เพียงแค่นำเฟรนช์ฟรายไปแช่แข็งก่อนนำไปทอด จะทำให้เฟรนช์ฟรายกรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน

สรุป เคล็ดลับทำของทอดไม่อมน้ำมันนี้จะช่วยในเรื่องของอาหารมันมากขึ้น
จัดทำโดย นาย สนั่น สุวะจันทร์

วิชาวิทยาศาสตร์ บทที่ 3 เซลล์

บทที่ 3
เซลล์
สาระสำคัญ
ร่างกายมนุษย์ พืช และสัตว์ ต่างประกอบด้วยเซลล์ จึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเซลล์พืช และเซลล์สัตว์ กลไกและการรักษาดุลยภาพของพืชสัตว์และมนุษย์ป้องกันดูแลรักษา ภูมิคุ้มกันร่างกาย กระบวนการแบ่งเซลล์
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
อธิบายรูปร่าง ส่วนประกอบ ความแตกต่าง ระบบการทำงาน การรักษาดุลยภาพของเซลล์พืช และเซลล์สัตว์ได้
อธิบายการรักษาดุลยภาพของพืชและสัตว์ และมนุษย์ และการนำความรู้ไปใช้
ศึกษา สืบค้นข้อมูลและอธิบายกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไบโทซิล และไปโอซิลได้

ขอบข่ายเนื้อหา
เรื่องที่ เซลล์
เรื่องที่ กระบวนการแบ่งเซลล์ แบบไบโทซีส และ ไปโอซิล

วิชาวิทยาศาสตร์ บทที่ 2 โครงงานวิทยาศาสตร์

บทที่ 2
โครงงานวิทยาศาสตร์
สาระสำคัญ
โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ในการศึกษาค้นคว้า โดยผู้เรียนจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มวางแผนใน การศึกษาค้นคว้า การเก็บรวบรวมข้อมูล จนถึงการแปลผล สรุปผล และการเสนอผลการศึกษา โดยมีผู้ชำนาญ การเป็นผู้ให้คำปรึกษา
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
อธิบายประเภทเลือกหัวข้อ วางแผน วิธีนำเสนอและประโยชน์ของโครงงานได้
วางแผนและทำโครงงานวิทยาศาสตร์ได้
อธิบายและบอกแนวทางในการนำผลจากโครงงานไปใช้ได้

ขอบข่ายเนื้อหา
เรื่องที่ 1 ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์
เรื่องที่ 2 ขั้นตอนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
เรื่องที่ 3 การนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์

เรื่องที่ ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้า โดยผู้เรียนจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มวางแผนในการศึกษาค้นคว้า การเก็บรวบรวมข้อมูล จนถึงเรื่องการแปลผล สรุปผล และเสนอผลการศึกษา โดยมีผู้ชำนาญการเป็นผู้ให้คำปรึกษา
ลักษณะและประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ จำแนกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
โครงงานประเภทสำรวจ เป็นโครงงานที่มีลักษณะเป็นการศึกษาเชิงสำรวจ รวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจัดกระทำและนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นลักษณะสำคัญของโครงงานประเภทนี้คือ ไม่มีการจัดทำหรือกำหนดตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษา
โครงงานประเภททดลอง เป็นโครงงานที่มีลักษณะกิจกรรมที่เป็นการศึกษาหาคำตอบของปัญหาใดปัญหาหนึ่งด้วยวิธีการทดลอง ลักษณะสำคัญของโครงงานนี้คือ ต้องมีการออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองเพื่อหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการทราบหรือเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยมีการจัดกระทำกับตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ เพื่อดูผลที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม และมีการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการศึกษา
โครงงานประเภทการพัฒนาหรือประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่มีลักษณะกิจกรรมที่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นการประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรือปรับปรุงของเดิมที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะรวมไปถึงการสร้างแบบจำลองเพื่ออธิบายแนวคิด
โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎีหรืออธิบาย เป็นโครงงานที่มีลักษณะกิจกรรมที่ผู้ทำจะต้องเสนอแนวคิด หลักการ หรือทฤษฎีใหม่ ๆ อย่างมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ในรูปของสูตรสมการหรือคำอธิบายอาจเป็นแนวคิดใหม่ที่ยังไม่เคยนำเสนอ หรืออาจเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ในแนวใหม่ก็ได้ ลักษณะสำคัญของโครงงานประเภทนี้ คือ ผู้ทำจะต้องมีพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี ต้องค้นคว้าศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง จึงจะสามารถสร้างคำอธิบายหรือทฤษฎีได้

กิจกรรมที่ โครงงาน
1 ) ให้นักศึกษาพิจารณาชื่อโครงงานต่อไปนี้แล้วตอบว่าเป็นโครงงานประเภทใด โดยเขียนคำตอบลงในช่องว่าง
แปรงลบกระดานไร้ฝุ่น โครงงาน
ยาขัดรองเท้าจากเปลือกมังคุด โครงงาน
การศึกษาบริเวณป่าชายเลน โครงงาน
พฤติกรรมลองผิดลองถูกของนกพิราบ โครงงาน
บ้านยุคนิวเคลียร์ โครงงาน
การศึกษาคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โครงงาน
เครื่องส่งสัญญาณกันขโมย โครงงาน
สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินปรับสภาพน้ำเสียจากนากุ้ง โครงงาน
ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขของหนูขาว โครงงาน
ศึกษาวงจรชีวิตของตัวด้วง โครงงาน

2 ) ให้นักศึกษาอธิบายความสำคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ว่ามีความสำคัญอย่างไร

เรื่องที่ ขั้นตอนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
การทำกิจกรรมโครงงานเป็นการทำกิจกรรมที่เกิดจากคำถามหรือความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังนั้นการทำโครงงานจึงมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นสำรวจหรือตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะทำ

การตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะทำโครงงานควรพิจารณาถึงความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่นแหล่งความรู้เพียงพอที่จะศึกษาหรือขอคำปรึกษา มีความรู้และทักษะในการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษา มีผู้ทรงคุณวุฒิรับเป็นที่ปรึกษา มีเวลา และงบประมาณเพียงพอ
ขั้นศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตัดสินใจทำ

การศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตัดสินใจทำ จะช่วยให้ผู้เรียนได้แนวคิดที่จะกำหนดขอบข่ายเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้าให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้นและยังได้ความรู้ เรื่องที่จะศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจนสามารถออกแบบการศึกษา ทดลอง และวางแผนดำเนินการทำโครงงานวิทยาศาสตร์อย่างเหมาะสม
ขั้นวางแผนดำเนินการ

การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ไม่ว่าเรื่องใดจะต้องมีการวางแผนอย่างละเอียด รอบคอบ และมีการกำหนดขั้นตอนในการดำเนินงานอย่างรัดกุม ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประเด็นที่ต้องร่วมกันคิดวางแผนในการทำโครงงานมีดังนี้ คือ ปัญหา สาเหตุของปัญหา แนวทาง และวิธีการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติได้ การออกแบบการศึกษาทดลองโดยกำหนดและควบคุมตัวแปร วัสดุอุปกรณ์และสารเคมี เวลา และสถานที่จะปฏิบัติงาน
ขั้นเขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์

การเขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์มีรายละเอียดดังนี้
ชื่อโครงงาน เป็นข้อความสั้น ๆ กะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายตรง และมีความเฉพาะเจาะจงว่าจะศึกษาเรื่องใด
ชื่อผู้ทำโครงงาน เป็นผู้รับผิดชอบโครงงาน ซึ่งอาจเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้
ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน ซึ่งเป็นอาจารย์หรือผู้ทรงคุณวุฒิก็ได้
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน เป็นการอธิบายเหตุผลที่เลือกทำโครงงานนี้ ความสำคัญของโครงงาน แนวคิด หลักการ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับโครงงาน
วัตถุประสงค์โครงงาน เป็นการบอกจุดมุ่งหมายของงานที่จะทำ ซึ่งควรมีความเฉพาะเจาะจงและเป็นสิ่งที่สามารถวัดและประเมินผลได้
สมมติฐานของโครงงานถ้ามีสมมติฐานเป็นคำอธิบายที่คาดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะผิดหรือถูกก็ได้ สมมติฐานที่ดีควรมีเหตุผลรองรับ และสามารถทดสอบได้


วัสดุอุปกรณ์และสิ่งที่ต้องใช้ เป็นการระบุวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นใช้ในการดำเนินงานว่ามีอะไรบ้าง ได้มาจากไหน
วิธีดำเนินการ เป็นการอธิบายขั้นตอนการดำเนินงานอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
แผนปฏิบัติการ เป็นการกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาเสร็จงานในแต่ละขั้นตอน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดการณ์ผลที่จะได้รับจากการดำเนินงานไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจได้ผลตามที่คาดไว้หรือไม่ก็ได้
เอกสารอ้างอิง เป็นการบอกแหล่งข้อมูลหรือเอกสารที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
ขั้นลงมือปฏิบัติ

การลงมือปฏิบัติเป็นขั้นตอนที่สำคัญตอนหนึ่งในการทำโครงงานเนื่องจากเป็นการลงมือปฏิบัติจริงตามแผนที่ได้กำหนดไว้ในเค้าโครงของโครงงาน อย่างไรก็ตามการทำโครงงานาจะสำเร็จได้ด้วยดี ผู้เรียนจะต้องคำนึงถึงเรื่องความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอื่น ๆ เช่นสมุดบันทึกกิจกรรมประจำวัน ความละเอียดรอบคอบและความเป็นระเบียบในการปฏิบัติงาน ความประหยัดและความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงาน การเรียงลำดับก่อนหลังของงานส่วนย่อย ๆ ซึ่งต้องทำแต่ละส่วนให้เสร็จก่อนทำส่วนอื่นต่อไปในขั้นลงมือปฏิบัติจะต้องมีการบันทึกผล การประเมินผล การวิเคราะห์ และสรุปผลการปฏิบัติ
ขั้นเขียนรายงานโครงงาน

การเขียนรายงานการดำเนินงานของโครงงาน ผู้เรียนจะต้องเขียนรายงานให้ชัดเจน ใช้ศัพท์เทคนิคที่ถูกต้อง ใช้ภาษากะทัดรัด ชัดเจน เข้าใจง่าย และต้องครอบคลุมประเด็นสำคัญ ๆ ทั้งหมดของโครงงานได้แก่ ชื่อโครงงาน ชื่อผู้ทำโครงงาน ชื่อที่ปรึกษา บทคัดย่อ ที่มาและความสำคัญของโครงงาน จุดหมาย สมมติฐาน วิธีดำเนินงาน ผลการศึกษาค้นคว้า ผลสรุปของโครงงาน ข้อเสนอแนะ คำขอบคุณบุคลากรหรือหน่วยงานและเอกสารอ้างอิง
ขั้นเสนอผลงานและจัดแสดงผลงานโครงงาน

หลังจากทำโครงงานวิทยาศาสตร์เสร็จแล้วจะต้องนำผลงานที่ได้มาเสนอและจัดแสดง ซึ่งอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ การประชุมทางวิชาการ เป็นต้น ในการเสนอผลงานและจัดแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรนำเสนอให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ๆ ทั้งหมดของโครงงาน
กิจกรรมที่
1. วางแผนจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอยากรู้มา 1 โครงงาน โดยดำเนินการดังนี้
ระบุประเด็นที่สนใจอยากรู้อยากแก้ไขปัญหา ( 1 ประเด็น
ระบุเหตุผลที่สนใจอยากรู้อยากแก้ไขปัญหา ( ทำไม
ระบุแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ( ทำได้
ระบุผลดีหรือประโยชน์ทางการแก้ไขโดยใช้กระบวนการที่ระบุ
พิจารณาข้อมูลจากข้อ ) มาเป็นชื่อโครงงาน
ระบุชื่อโครงงานที่ต้องการแก้ไขปัญหาหรือทดลอง
ระบุเหตุผลของการทำโครงงาน มีวัตถุประสงค์อย่างไร ระบุเป็นข้อ ๆ
ระบุตัวแปรที่ต้องการศึกษา ( ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม
ระบุความคาดเดา สมมติฐาน) ที่ต้องการพิสูจน์

2. จากข้อมูลตามข้อ ) ให้นักศึกษาเขียนเค้าโครงโครงงานตามประเด็นดังนี้
1) ชื่อโครงงาน ( จาก 2
2) ที่มาและความสำคัญของโครงงาน จาก
3) วัตถุประสงค์ของโครงงาน ( จาก 3
4) ตัวแปรที่ต้องการศึกษา ( จาก 4
5) สมมติฐานของโครงงาน ( จาก 5
6) วัสดุอุปกรณ์และงบประมาณที่ต้องใช้
1 วัสดุอุปกรณ์
2 งบประมาณ
7) วิธีดำเนินงาน ( ทำอย่างไร

กศน.แขวงบ้านพานถม 110 ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. 10200 โทรศัพท์ 0-2280-8348 โทรสาร 0-2280-8349 มือถือ 083-270-1720