หน้าเว็บ

วิสัยทัศน์ กศน.แขวงบ้านพานถม เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โครงงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โครงงาน แสดงบทความทั้งหมด

โครงงานวิทยาศาสตร์ การทดลอง เรื่อง ฤทธิ์กัดกร่อนระหว่าง กรดซิตริกและอะซิตริก

โครงงานวิทยาศาสตร์ การทดลอง เรื่อง ฤทธิ์กัดกร่อนระหว่าง กรดซิตริกและอะซิตริก


รายชื่อผู้จัดทำ

1.นางสาว นันทพร บุญเจริญ

2.นางสาว หฤทัย ช่างแกะ

3.นาย วิทยา อานนท์


อาจารย์ที่ปรึกษา

อาจารย์ ปฐมพร ธัมมาภิรัตตระกูล


โครงงานเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้วิชาโครงงานวิทยาศาสตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กศน. เขตพระนคร แขวงบ้านพานถม


คำนำ

โครงงานเล่มนี้เกี่ยวข้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ด้านการทดลอง ระหว่างกรดซิตริกของน้ำมะนาว และ กรดอะซิตริกของน้ำส้มสายชู ทำให้รู้ถึงความสามารถของ กรดซิตริกจากน้ำมะนาว และกรดอะซิตริกจากน้ำส้มสายชูว่าสามารถแบบเปลี่ยนสารแข็งบางชนิดให้อ่อนนึ่มลงได้ไม่มากก็น้อยและทำให้รู้ถึงอันตรายและพิษสงของน้ำส้มสายชูที่มีกรดอะซิตริกประกอบอยู่นั้นมีอันตรายต่อร่างกายอย่างไรบ้างคาดหวังว่าโครงงานเล่นนี้จะมีประโยชน์แก่นักศึกษาท่านอื่นที่ต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์หากทีข้อใดผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย


กิตติกรรมประกาศ

การศึกษาค้นคว้าการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องทำไข่แข็งให้เป็นไข่นิ่ม ในครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดี คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงารจวิทยาศาสตร์ คุณครู ปฐมพร คุณครู วรรณาภา อาจารย์ กศน. เขตพระนครทุกท่านที่ให้คำปรึกษาแนะแนวทางการทำงาน และเอื้อเฟ้อ จนสามารถทำให้โครงงานนี้เสร็จสิ้นไปด้วยดีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการศึกษาค้นคว้าการทำโครงงานวิทยาศาสตร์การทดลองเรื่องฤทธิ์กัดกร่อนระหว่าง กรดซิตริกและอะซิตริก จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจและอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้

คณะผู้จัดทำ



วัตถุประสงค์

ต้องการทราบถึงฤทธิ์กัดกร่อน อะซิตริกในน้ำส้มสายชู และ กรดซตริกจากมะนาวธรรมชาติ ว่ากรดชนิดใดมีความกัดกร่อน และอันตรายสูงกว่ากัน และหวังว่าโครงงานเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกรด2ชนิดนี้ หรือเปิดอ่านโครงงานเล่มนี้

สมมติฐาน

คาดการทดลองครั้งนี้ กรดซิตริกจากน้ำมะนาวน่าจะทำให้ไข่ที่แข็งลงได้ มากกว่ากรดอะซิตริกของน้ำส้มสายชู เพราะกรดซิตริกจากน้ำมะนาวเป็นกรดจากธรรมชาติ น่าจะมีความเข้มข้นและมีความสามารถกัดกร่อนเปลือกไข่ได้ดีกว่า
---------------------------------------------------------------------------

บทที่ 1

ที่มาและความสำคัญ 

กรดน้ำส้ม หรือ กรดแอซีติก[1] (อังกฤษ: acetic acid) เป็นสารประกอบเคมีอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชู (ไม่ใช่พืชตระกูลส้มซึ่งให้กรดซิตริก) มีรสเปรี้ยวและกลิ่นฉุน กรดแอซีติกแข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 16.7 °C มีลักษณะเป็นผลึกใส กรดชนิดนี้มีฤทธิ์กัดกร่อน ไอของกรดสามารถทำให้ตาและจมูกระคายเคือง แต่ก็ยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนหากละลายน้ำ ซึ่งมีประโยชน์มากในการขจัดตะกรันในท่อน้ำ ในด้านอุตสาหกรรมอาหาร กรดแอซีติกใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหารเพื่อควบคุมความเป็นกรดภายใต้รหัส E260 น้ำส้มสายชูจัดเป็นเครื่องปรุงรสอาหาร ชนิดหนึ่งที่เรารู้จักกันมานาน และใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันของครอบครัวไทย โดยนำมาประกอบอาหารที่ต้องการรสเปรี้ยว ใช้หมักดองถนอมอาหาร น้ำส้มสายชูจึงจัดเป็นเครื่องปรุงรสที่มีอยู่ประจำบ้าน ร้านค้า และร้านอาหาร แต่ในปัจจุบันมีการนำน้ำส้มสายชูปลอมมาจำหน่ายเนื่องจากมีราคาถูกเมื่อเทียบ กับน้ำส้มสายชูที่เป็นอาหารได้ โดยนำกรดน้ำส้มชนิดเข้มข้นมาจำหน่ายในชื่อว่า “หัวน้ำส้ม” หัวน้ำส้มนี้ คือ “กรดน้ำส้มอย่างแรง” (Glacial acetic acid) พบว่าหัวน้ำส้มชนิดนี้ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง สิ่งพิมพ์ สิ่งทอ แม้ว่าจะเป็นกรดน้ำส้มแต่ไม่มีความบริสุทธิ์พอที่จะนำมาบริโภค เนื่องจากมีโลหะหนัก และวัตถุเจือปนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตปนเปื้อนอยู่ ทำให้เกิดพิษสะสมจากโลหะหนัก และสิ่งปนเปื้อนต่างๆ และนอกจากนี้ยังพบปัญหาการผสมไม่ถูกส่วน คือ มีการผสมปริมาณกรดน้ำส้มสายชูเกินไปทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ดั้งนี้
ทำให้เกิดการกัดกร่อนอย่างรุนแรงต่อปากและระบบทางดินอาหาร เกิด อันตรายต่อกระเพาะอาหารและลําไส้ได้
อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงเนื่องจากผนังลำไส้ไม่ดูดซึมอาหาร
รวม ทั้งได้มีการนำเอากรดแร่อิสระบางอย่าง เช่น กรดกำมะถัน หรือ กรดซัลฟุริก(Sulphuric acid) ซึ่งเป็นกรดแก่มาเจือจางด้วยน้ำมาก ๆ แล้วบรรจุขวดขาย นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะกรดกำมะถันเป็นกรดที่มีสรรพคุณกัดกร่อน รุนแรงมาก จะทำให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารและตับ

คณะผู้จัดทำจึงอยากให้เห็นถึงอันตรายและโทษของน้ำส้มสายชู จึงทำการทดลองโครงงานนี้ขึ้น…

---------------------------------------------------------------------------

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ให้ทราบถึงโทษและอันตรายของ กรดแอซิตริกที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูว่ามีความอันตรายต่อร่างกายมากเพียงใด และอาจจะช่วยให้ผู้ที่ได้เปิดอ่านโครงงานเล่มนี้ได้เข้าใจและปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานและหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น

ขอบเขตการศึกษา

การศึกษาและทดลอง ของฤทธิ์กัดกร่อนของกรดแอซิตริกในน้ำส้มสายชู ว่าเมื่อนำไข่ต้มที่มีเปลือกแข็งมาแช่ไว้จะทำให้กรดแอซิตริกกัดกร่อนจนเปลือกไข่นิ่มลง

 นิยามศัพท์เฉพาะ

กรดแอซิตริก กรดสังเคราะห์ที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ มีฤทธิ์กัดกร่อน

กรดซิตริก กรดธรรมชาติ พบได้จากผลไม้ เช่น มะนาว ส้ม เป็นต้น

---------------------------------------------------------------------------
 บทที่ 2


เอกสารประกอบและทฤษฎีเกี่ยวข้อง

กรดอะซิติก (C2H4O2) เป็นของเหลวใสไม่มีสี มีกลิ่นฉุน แสบจมูก ระเหยได้ น้ำหนักโมเลกุล 60.05 จุดเดือด 118 องศาเซลเซียส จุดเยือกแข็งที่ 17 องศาเซลเซียส ความถ่วงจำเพาะ 1.05 ความดันไอ 11 มม.ของปรอทที่ 20 องศาเซลเซียส ละลายน้ำได้ดี มีความเสถียร กรดอะซิติกบริสุทธิ์ เรียกว่า กรดน้ำส้มล้วน หรือกรดกลาเซียอะซิติก (Glacial acetic acid) ซึ่งมีลักษณะเป็นผลึกที่อุณหภูมิต่ำกว่า 17 องศาเซลเซียส การเจอจางกรดด้วยน้ำ ได้น้ำส้มสายชูสำหรับปรุงอาหาร ซึ่งอาจได้จากการหมัก มีกลิ่นหอมและไม่มีอันตรายจากสารปนเปื้อน

ในสมัยโบราณมีการนำกรดนี้มาใช้โดยหมักจากไวน์หรือเหล้าต่อจนมีรสเปรี้ยว ได้น้ำส้มสายชู (Vinegar) ซึ่งมีความเข้มข้นประมาณร้อยละ 3 ปัจจุบันการผลิตกรดอะซิติกใช้การสังเคราะห์ทางเคมีโดยการออกซิไดซ์อะเซตาลดี ไฮด์ (Acetaldehyde) หรือใช้คาร์บอนมอนอกไซด์ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนได้เมธานอล แล้วทำปฏิกิริยากับคาร์บอนมอนอกไซด์ อีกครั้งหนึ่งจนได้กรดอะซิติก

กรดอะซิติก ใช้ในการผลิตพลาสติก อุตสาหกรรม สีย้อมผ้า ยาฆ่าแมลง ยาแอสไพริน เส้นใยสังเคราะห์ สารโพลีเมอร์ และกาว เป็นต้น

อันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

กรดอะซิติก มีความรุนแรงน้อยกว่ากรดอนินทรีย์ เนื่องจากเป็นกรดที่ระเหยได้ จึงมีความเป็นพิษได้ทั้งจากการหายใจ การสัมผัส และการกิน พิษจากการหายใจทำให้ไอ หายใจขัด ความเป็นพิษจากการสัมผัสและการกินจะเกิดในกรณีที่มีความเข้มข้นสูง เช่น กรดกลาเซียล อะซิติก ทำให้ระคายเคืองต่อปาก และทางเดินอาหาร ผิวเนื้อเยื่อถูกทำลาย เกิดการอักเสบ อาจมีเลือดออก พิษจากการสัมผัสที่ผิวหนังไม่รุนแรงสามารถล้างน้ำออกได้อย่างรวดเร็ว

อาจทำปฏิกิริยากับสารออกซิไดเซอร์ที่แรง เช่น เปอร์คลอเรต เปอร์แมงกาเนต ทำให้เกิดการระเบิดได้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วถึงเวลาแล้วรึยังที่ผู้บริโภคจะเริ่มตื่นตัวกับกับอันตรายที่มาจากน้ำส้มสายชู ปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานใหม่ และหันมาใส่ใจกับร่างกายและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆมากขึ้น ทั้งนี้ถ้าเราหลีกเลี่ยงการรับประทานไม่ได้ก็ยากให้เรารับประทานในปริมาณที่น้อยลง เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวท่านเอง

---------------------------------------------------------------------------

 บทที่ 3

วิธีการดำเนินการโครงงาน


อุปกรณ์ และวิธีการดำเนินงาน


1.ขวดโหลใส 2 ขวด

2.น้ำส้มสายชู 500 มิลลิลิตร

3.น้ำมะนาว 500 มิลลิลิตร

4.ไข่ต้มไม่แกะเปลือก 2 ใบ

สถานที่ทำการทดลอง บ้านของนางสาว นันทพร บุญเจริญ

ขั้นตอนการทดลองระหว่างฤทธิ์ของกรดแอซิตริก และ กรดซิตริก

1.เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม นำไข่ไก่ดิบ 2 ฟอง ไปต้มจนสุก นำน้ำส้มสายชูปริมาณ 500 มิลลิลิตร ใส่ขวดโหลใส่ และนำน้ำมะนาวคั้น 500 มิลลิลิตรใส่ขวดโหล

2.นำไข่ไก่ต้มสุกใส่ลงไปในขวดโหลอย่างละ1ฟอง โดยไม่ต้องปลอกเปลือก

3.สังเกตุเมื่อผ่านไป 5 นาทีแรก จะมีฟองฟูในขวดน้ำมะนาวจำนวนมาก แต่ขวดน้ำส้มสายชูจะมีฟองเกาะที่ไข่เพียงเล็กน้อย

4 เมื่อผ่านไป 6 ชั่วโมง สีของเปลือกไข่ไก่ที่แช่น้ำมะนาวจะเริ่มจางลง และไข่ไก่ที่แช่น้ำส้มสายชูจะมีแผ่นบางๆหลุดรอนออกมาแต่สีไข่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

5.และเมื่อผ่านไป 24 ชั่วโมงไข่ไก่ที่แช่ในน้ำมะนาวจะมีสีที่จางลงแต่ไข่ยังคงแข็งเหมือนเดิมปกติ แต่ไข่ไก่ที่แช่น้ำส้มสายชูจะมีแผ่นบางๆร่อนออกมาจากเปลือกไข่ แต่ไข่ไก่มีสีเดิมและนิ่มขึ้นอย่างมาก

---------------------------------------------------------------------------

บทที่ 4

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล/ผลการจัดทำโครงงาน

เนื่องจากคณะผู้จัดทำคาดว่าน้ำมะนาวจะมีฤทธิ์กัดกร่อนที่สูงกว่าน้ำส้มสายชูเนื่องจากเป็นกรดธรรมชาติ แต่จากผลการทดลองก็ทำให้ทราบว่ากรดอะซิตริกในน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์กัดกร่อนมากกว่า กรดซิตริกในน้ำมะนาว

กรดซิตริกในน้ำมะนาวมีฤทธิการกัดกร่อนที่น้อยมาก แตกต่างจากกรดอะซิตริกในน้ำส้มสายชูที่ทีฤทธิ์กัดกร่อนที่สูงกว่าที่สามารถเปลี่ยนเปลือกไข่ที่มีความแข็งให้นิ่มขึ้นมาได้อย่างมาก ซึ่งทำให้เรารู้ว่าถ้ารับประทานน้ำส้มสายชูในปริมาณมาก และต่อเนื่องนั้นจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
---------------------------------------------------------------------------

บทที่ 5

สรุปผลและอภิปรายผลการดำเนินการจัดทำโครงงาน 


สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ

สรุปผลการทดลอง: น้ำส้มสายชูมีส่วนประกอบสำคัญคือ กรดอะซิตริก ซึ่งทำให้เกิดปฎิกิริยากับแคลเซียมคาร์บอเนตในเปลือกไข่(แคลเซียมคาร์บอเนตทำให้เปลือกไข่แข็ง)เกิดฟองก๊าชคาร์ไดออกไซด์เมื่อฟองอากาศมีมากขึ้น ฟองก๊าชบางส่วนที่เกาะที่ผิวของเปลือกไข่จะพยุงให้ไข่ลอยตัวขึ้นสูงสู่ผิวของเหลวในที่สุด ขณะเดียวถ้าตั้งผิ่งไว้ 1-2 วัน เมื่อแคลเซียมคาร์บอเนตท์ทำให้เปลือกไข่แข็งหมดไปก็จะเหลือแต่เยื่อบางๆอยู่ ห่อหุ้มไข่ซึ้งมีลักษณะของเหลวอยู่ภายใน ทำให้ไข่อ่อนนิ่ม


เรื่อง.ฤทธิ์กัดกร่อนระหว่าง กรดซิตริกและกรดอะซิตริก

1.กรดอะซิตริกมีฤทธิ์กัดกร่อนที่สูงกว่ากรดซิตริกที่มาจากธรรมชาติ

2.กรดซิตริกเป็นกรดธรรมชาติที่ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงเหมือนกรดอะซิตริกในน้ำส้มสายชู

3.ไข่ที่แช่ในน้ำส้มสายชูจะมีขนาดใหญ่กว่าไข่ที่แช่น้ำมนาวเพราะน้ำส้มสายชูซึมแพร่เข้าไปในไข่

---------------------------------------------------------------------------

ข้อเสนอแนะ

1.ศึกษาเกี่ยวกับกรดในธรรมชาติจากผลไม้ชนิดอื่นบ้างว่ามีผลไม้ชนิดใดในธรรมชาติที่มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง

2.ศึกษาหาประโยชน์จากกรดอะซิตริกว่ามีข้อดีด้านไหนแล้วมาปรับปรุงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายแทน

3.ศึกษาเกี่ยวกับกรดในผลิตภัณฑ์อาหารชนิดอื่นๆบ้างว่ามีผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

โครงงาน การเลี่ยมกรอบพระ


โครงงาน เรื่อง การเลี่ยมกรอบพระ 

เสนอ 

อ.ปฐมพร ธัมมาภิรัตตระกูล 

จัดทำโดย 

1. นายอุเทน อยู่ดี (รหัสนักศึกษา) 5613000848

2. นายโยธิน มณีวงศ์ (รหัสนักศึกษา) 5613000576

3. นางสาวทวินันท์ บุนนาค (รหัสนักศึกษา) 5613000606

4. นางสาวชญาธร กำพลรัตน์ (รหัสนักศึกษา) 5613000866

5. นางสาวกันต์ธิดา รัตนไพศาลศิลป์ (รหัสนักศึกษา) 5613000633


รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ช่องทางการพัฒนาอาชีพ บูรณาการกับวิชา 
วิทยาศาสตร์ , การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ , เศรษฐกิจพอเพียงระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย 
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 
ศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเขตพระนคร


คำนำ 

การเลี่ยมกรอบพระ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้สนใจศึกษาวิธีการทำ การออกแบบตลอดจนนำเอาศิลปะเข้ามาเป็นส่วนประกอบที่สวยงาม ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ไว้ซึ่งงงานศิลปะที่ประณีตและสวยงาม อีกทั้งสามารถนำมาประกอบเป็นอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ได้อีกทางหนึ่งอีกด้วย การอัดกรอบพระพลาสติกหรือการเลี่ยมกรอบพระ เป็นวิธีการเก็บรักษาพระเครื่อง เพื่อให้คงสภาพเดิม ป้องกัน การสึกหรอ เสื่อมสลาย การเลี่ยมกรอบพระเป็นการรักษาพระเครื่องที่เลื่อมใสศรัทธา ที่ง่ายและสะดวกมากที่สุด รายงานชุดนี้จำเป็นต้องศึกษาวิธีการทำอย่างละเอียดก่อน 

หากรายงานฉบับนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย

คณะผู้จัดทำ 


สารบัญ 

เรื่อง หน้า

ชื่อโครงงาน........................................................................................................1

คำนำ......................................................................................................2

สารบัญ.................................................................................................... 3

ที่มาและความสำคัญ......................................................................................................4

วัตถุประสงค์...............................................................................................4

เป้าหมาย...................................................................................................... 4

วิธีการดำเนินการ........................................................................................................5

ขั้นตอนการทำงาน.....................................................................................................9

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ..........................................................................................................10

ตัวอย่างชิ้นงาน........................................................................................................10

ตารางกำหนดเวลาในการปฏิบัติงาน........................................................................................................11

สถานที่ดำเนินการ........................................................................................................11

ค่าใช้จ่าย........................................................................................................11

ปัญหา/อุปสรรค...................................................................................................12

ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ.........................................................................................................12

บรรณานุกรม...............................................................................................18

ผู้รับผิดชอบโครงงาน 
1. นายอุเทน อยู่ดี (รหัสนักศึกษา) 5613000848 

2. นายโยธิน มณีวงศ์ (รหัสนักศึกษา) 5613000576 

3. นางสาวทวินันท์ บุนนาค (รหัสนักศึกษา) 5613000606 

4. นางสาวชญาธร กำพลรัตน์ (รหัสนักศึกษา) 5613000866 

5. นางสาวกันต์ธิดา รัตนไพศาลศิลป์ (รหัสนักศึกษา) 5613000633 

ที่ปรึกษาโครงงาน อ.ปฐมพร ธัมมาภิรัตตระกูล



ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 

ที่มาของโครงงาน

การเลี่ยมกรอบพระ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้สนใจศึกษาวิธีการทำ การออกแบบตลอดจนนำเอาศิลปะเข้ามาเป็นส่วนประกอบที่สวยงาม ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ไว้ซึ่งงงานศิลปะที่ประณีตและสวยงาม อีกทั้งสามารถนำมาประกอบเป็นอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ได้อีกทางหนึ่งอีกด้วย การอัดกรอบพระพลาสติกหรือการเลี่ยมกรอบพระ เป็นวิธีการเก็บรักษาพระเครื่อง เพื่อให้คงสภาพเดิม ป้องกัน การสึกหรอ เสื่อมสลาย การเลี่ยมกรอบพระเป็นการรักษาพระเครื่องที่เลื่อมใสศรัทธา ที่ง่ายและสะดวกมากที่สุด

ความสำคัญของโครงงาน

การเลี่ยมกรอบพระเป็นงานฝีมือ ต้องอาศัยประสบการณ์ความชำนาญ การฝึกฝน การดัดแปลง สร้างสรรค์รูปแบบให้แปลกใหม่ ให้เกิดความงดงาม เป็นการรักษา ส่งเสริมคุณค่าของงานศิลปะควบคู่ไปกับการรักษา คุณค่าของวัตถุมงคล อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้บุคคลประกอบแต่คุณงามความดี

วัตถุประสงค์ 

1. เพื่อหารายได้เสริม

2. เพื่อศึกษาวิธีการเลี่ยมกรอบพระ

3. เป็นวิธีเก็บรักษาพระเครื่อง ให้อยู่กับเราได้นานๆ

เป้าหมาย

เชิงปริมาณ

ได้วิธีการเก็บรักษาพระเครื่อง เพื่อให้คงสภาพเดิม ป้องกัน การสึกหรอ เสื่อมสลายของพระเครื่อง

ที่เลื่อมใสศรัทธา ที่ง่ายและสะดวกมากที่สุด


วิธีดำเนินการ 

วัสดุอุปกรณ์

1. แผ่นอะครีลิค ขนาด 0.8 ,1.0 ,2.0 ,5.0 มม. แบบใส

2. น้ำยาประสานพลาสติก 

3. ตะเกียงแอลกอฮอล์ (พร้อมน้ำมัน)


4. เลื่อยฉลุ ขนาดสั้น

5. ไม้แบบ 

6. เหล็กตัว C 

7. ตะไบ 

8. คลิปดำ 

ขั้นตอนการทำ

1.ขั้นตอนการทำบล็อคกด

1.ตัดแผ่นพลาสติกที่มีความหนา 3 มม.ใสหรือสีก็ได้ให้ใหญ่กว่าเหรียญ

2.เอาเหรียญที่จะเลี่ยมมาวางลงบนแผ่นพลาสติก ใช้ดินสอวาดตามขอบเหรียญ

และวาดเส้นอีกหนึ่งเส้นให้รอบเส้นที่วาดไว้แล้วให้ห่างกันประมาณ 1 มม.

3.ใช้สว่านเจาะรูให้ห่างจากเส้นวงในประมาณ 3 มม.

4.นำเลื่อยฉลุ ฉลุระหว่างกลางของเส้นวงกลมทั้งสอง

5.เมื่อฉลุเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ตะไบถูบริเวณขอบที่ฉลุให้เรียบทั้งสองชิ้น

(ขั้นตอนนี้จะได้พลาสติก 2 ชิ้น ชิ้นแรกจะเป็นแกน อีกชิ้นจะเป็นแบบกด)

2.ขั้นตอนการทำแกนกลาง.

1.วาดแบบพระลงบนแผ่นพลาสติกที่มีขนาด 3มมจะใช้เป็นแกนวาดให้พอดีกับเหรียญแล้ววาดเส้นเข้าไปอีก

1 มม.

2.ใช้เลื่อยฉลุ ฉลุตามเส้นที่วาดไว้วงใน ระวังอย่าให้ฉลุมาโดนวงนอก แล้วใช้ตะไบหรือ

กระดาษทรายขัดขอบให้เรียบแต่อย่าขัดจนใหญ่กว่าเหรียญ

3.นำพลาสติกที่ฉลุเป็นแกนกลางลนไฟอย่าให้ร้อนมาก นำน้ำยาประสานมาทาขอบใน

ให้ทั่วเพื่อที่จะให้ขอบข้างใส

4.นำพลาสติกแกนกลางมาลนไฟอีกที ตอนนี้ลนจนให้พลาสติกอ่อนตัว แล้วจึงนำไปครอบกับเหรียญ เอาบล็อกที่ตัดไว้มาวางครอบแกนกลางอีกที เพื่อที่จะให้แกนกลางเรียบสนิทกับพื้น รอจนแกนกลางเย็นตัวลง ก็จะได้แกนกลางที่มีเหรียญติดอยู่

3.ขั้นตอนการเลี่ยมกรอบ

1.ตัวแผ่นพลาสติกใสที่มีความหนา 0.8 มม.ให้ใหญ่กว่าตัวแกนกลางประมาณ 1-2 ซม. 2 แผ่น

2.นำชิ้นงานแกนกลางมาวางลงบนกระจก

3.เอาแผ่นพลาสติกใสมาลนไฟจนอ่อน ระวังอย่าให้แผ่นไหม้

4.นำไปกดทับตัวที่เป็นแกนกลาง ด้วยกรอบบล็อกทิ้งไว้ให้เย็น โดยใช้คลิปหนีบไว้ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน

5.นำกรอบพลาสติกไปประกบกับตัวแกนที่เข้าพลาสติกแล้ว โดยตกแต่งมุมให้เรียบร้อย

ใช้คลิปหนีบรอบชี้นงาน หยอดกาวเชื่อมพลาสติก

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1. ได้รับความรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์และช่องทางการขยายอาชีพ

2. รู้ถึงหลักการเศรษฐกิจพอเพียง

3. รู้ความหมายของตลาด

4. สามารถนำความรู้มาแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันโดยกระบวนคิดเป็น มีเหตุผล



ตัวอย่างชิ้นงาน



















ตารางกำหนดเวลาในการปฏิบัติงาน

โครงงาน การเลี่ยมกรอบพระ


ที่

การดำเนินงาน

พ.ค.

มิ.ย.

ก.ค.

ส.ค.


1
อาจารย์เริ่มสั่งงานและศึกษาค้นคว้าข้อมูลวิธีทำ 
2 แบ่งหน้าที่กันทำงาน 

3 จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเริ่มทดลอง 

สรุปรายงานเสนออาจารย์
นำเสนอผลงานและขั้นตอนการทำ
สรุปผลงาน/ปัญหาและอุปสรรค

สถานที่ดำเนินการ 

โรงเรียนวัดใหม่อมตรส

ค่าใช้จ่ายในการทำโครงงาน

1.แผ่นอะครีลิค ราคา 35-45 บาท

2.น้ำยาประสานพลาสติก ราคา 80 บาท

3.น้ำมันตะเกียงแอลกอฮอล์ ราคา 20 บาท

(ของบางอย่างมีอยู่แล้วในที่บ้านและที่ทำงาน)


ผลที่คาดว่าจะได้รับ

1. รู้วิธีการเก็บรักษาพระเครื่องให้อยู่คู่กับเราได้นานๆ

2. สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวและชุมชนได้


การติดตามและการประเมินผล

ติดตามจากการสังเกตความสนใจของของผู้ฟัง และผลปรากฏว่าผู้ฟังมีความสนใจ ...........%


ปัญหา/อุปสรรค

1. ไม่มีความรู้เรื่องการเลี่ยมกรอบพระมากพอ


ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ




ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ




ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ




ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ




ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ




ภาพตัวอย่างขั้นตอนการทำ




บรรณานุกรม

ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลมาจากเว็บไซด์ ต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการเลี่ยมกรอบพระ เช่น

1.http://www.Google.com/

2 http://www.pra-nakhon.com/index.php?topic=130.30

http://www.krobpra.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%991.html

โครงงานนักศึกษา กศน.แขวงบ้านพานถม กลุ่ม 234703 กศน.เขตพระนคร


โครงงานนักศึกษา กศน.แขวงบ้านพานถม กลุ่ม 234703 กศน.เขตพระนคร 

จำนวนนักศึกษา 60 คน 


มีสิทธิ์สอบ 43 คน
มส. 17 คน


แบ่งเป็น โครงงานกลุ่ม จำนวน 7 กลุ่ม

โครงงานเดี่ยว จำนวน 3 กลุ่ม

รวมจำนวน 33 คน

ยังไม่มีกลุ่มและไม่เสนอโครงงาน 10 คน


โครงงานกลุ่ม

1. กลุ่ม My Friend

โครงงาน Model Zoo (ผู้สอนแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเพื่อให้ดูน่าสนใจกว่านี้)

สมาชิกในกลุ่ม จำนวน 4 คน

5423-00047-4 น.ส.พรจิตรา สิงห์โต

5423-00057-7 น.ส.มานิตา ชมภูวงค์

5423-00048-3 น.ส.พนิดา พราหมอ้น

5423-00049-2 น.ส.เตชินี กูลศิริ


2. กลุ่ม INFINITY

โครงงาน หมอนอาเซียน (ผู้สอนแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเพื่อให้ดูน่าสนใจกว่านี้)

สมาชิกในกลุ่ม 5 คน

5413-00119-3 น.ส.พรอนันต์ ศิริพิพัฒน์

5513-00058-2 นายณรงค์ศักดิ์ น้อยจินดา

5513-00060-3 น.ส.พุทธชาติ พิรุณ

5413-00058-9 น.ส.สุพรรณี ศิริวาลย์

5413-00052-5 น.ส.มลฤดี นิลจันทึก



3. กลุ่มน๊อคเอ๊าท์

โครงงาน ถุงเท้าปรับอากาศ

สมาชิกในกลุ่ม 3 คน

5413-00033-8 น.ส.ชุดาพร วูยือ

5413-00053-4 น.ส.กนกภรณ์ ศรีสุข

5413-00066-4 น.ส.นันทิตา พ่อค้า



4. กลุ่ม

โครงงาน กระเป๋าลดโลกร้อน

สมาชิกในกลุ่ม 5 คน

5413-00094-5 นายศรีไวย์ สุขแก้ว

5413-00095-4 นางน้ำอ้อย แซ่จึง

5413-00099-0 น.ส.นุชนาฎ ลิ้มเจริญ

5413-00100-9 น.ส.กวินธิดา คล่องการ

5423-00038-0 น.ส.สุดาทิพย์ พิมพ์พัด



5. กลุ่ม SMALL ROOM

โครงงาน โคมไฟจากขวดพลาสติก

สมาชิกในกลุ่ม 5 คน

5423-00039-9 นายวิสรุธ กันยาเลิศ

5413-00125-0 นายภาณุพงศ์ สาลิกา

5423-00084-9 นายเอกสิทธิ์ นุ่มนวม

5413-00118-4 นายสุภักษร โพธิ์ทอง

5413-00129-6 นายณัฐพล วงศ์จักร


6. กลุ่มสามัคคีธรรม

โครงงาน มูลี่หลากสี

สมาชิกในกลุ่ม 5 คน

5413-00096-3 นายไพรวัลย์ นอกสันเทียะ
5413-00097-2 นายวีรวัฒน์ หงส์ผ้วย

5413-00090-9 นายสนั่น สุวะจันทร์

5413-00093-6 นายมานพ สุวรรณเพชร

5513-00026-5 นายธนกร โพธิ์เงิน


7. กลุ่ม SMILE

โครงงาน กล่องเอนกประสงค์จากไม้ไอศกรีม

สมาชิกในกลุ่ม 3 คน

5413-00049-5 น.ส.กัญญารัตน์ สุตะภักดิ์

5513-00033-1 น.ส.สุภาพร ดอนพุทธซา

5513-00034-0 น.ส.ศศิธร ทาทอง

โครงงานที่นักศึกษาทำคนเดียว



1. โครงงาน นาฬิกาแฟชั่น (ผู้สอนแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเพื่อให้ดูน่าสนใจกว่านี้)

5513-00053-7 น.ส.ภาวิณี บุญจันทร์



2. โครงงาน กระเป๋าการศึกษา

5413-00098-1 นายตวัน จันทนากร



3. โครงงาน เดคูพา (ผู้สอนแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเพื่อให้ดูน่าสนใจกว่านี้)

5513-00052-8 น.ส.ภัสรา บุญจันทร์

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


นักษาที่ยังไม่มีกลุ่มและยังไม่ได้เสนอชื่อโครงงาน

1. 5413-00055-2 นายสิทธิชัย แก่นกลางดอน เสนอแล้ว

2. 5413-00068-2 นายสุชาติ หลิมจานนท์

3. 5413-00071-2 น.ส.อุษารัตน์ ศิริวรรณ์

4. 5413-00103-6 น.ส.อรวรรณ เวหน

5. 5423-00064-3 น.ส.จารุณี เอี่ยมศิริ

6. 5423-00066-1 นายทนงศักดิ์ เงาศรี

7. 5423-00108-8 นายทีปกร สมุทรคีรี

8. 5423-00111-8 น.ส.อุษณี ศรีสุขวรศิลป

9. 5513-00020-1 นายดนัย เจริญสุข

10. 5513-00062-1 น.ส.ธัญรัศม์ พงษ์ขจรวิทย์


ครูผู้สอนแนะนำให้นักศึกษาที่ยังไม่มีกลุ่มทำโครงงานเดี่ยวและนำชื่อโคงงานรวมทั้งหลักการและเหตุผลมาเสนอผู้สอนในการพบกลุ่มครั้งต่อไป



การทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์

การทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์

           การเคลือบรูปวิทยาศาสตร์  ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยประมาณปี 2509 ซึ่งชื่อทางการค้าว่า กรอบรูปวิยาศาสตร์ เป็นการเคลือบรูป ให้เกิดความสวยงานและเป็นการบำรุงรักษาสภาพของรูปให้อยู่คงทนไม่ชำรุดหรือมัว เนื่องจากความชื้นหรือเกิดเชื้อราที่รูปภาพ



วัสดุและอุปกรณ์
เรซิ่นเคลือบรูป (ชื่อทางการคือ โพลิเอสเทอร์เรซิ่นชนิดไม่อิ่มตัว หรือ Unsaturated Polyester Resin) เบอร์ KC-228-W
ซึ่งผสมตัวเร่งปฏิกิริยา (Accelerator) หรือ (Promoter) แล้วเป็นพลาสติกเหลวมีหลายสี เช่น แดง ม่วง ใสมีกลิ่นฉุน
ตัวทำให้แข็งหรือตัวเน่งปฏิกิริยา (Catalyst หรือ Hardener) ชื่อทางเคมี MEKP มีลักษณะเหลวใสไม่มีกลิ่น กลิ่นฉุนแรงกัดมือ ระวังอย่าให้เข้าตา
อะซิโตน (Acetone) มีลักษณะของเหลวใสไม่มีสี กลิ่นฉุนแรงกว่าทินเนอร์ ติดไฟง่าย ใช้ล้างโพลิเอสเตอร ์หรือเริซิ่นเคลือบรูป
กรอบรูป (ไม้แผ่น) ใหญ่กว่ารูปภาพ ปรกติใช้ไม้ MDF เป็นไม้ยางพาราชนิดดี หรือใช้ไม้ PB ไม้ยูคาก็ได้
กระดาษลายไม้ หรือลายหน้า ใช้ปิดรอบรูปเพื่อความสวยงาม
รูปโปสการ์ด รูปถ่าย ใบประกาศ หรืออื่นๆที่ต้องการเคลือบ
กาวลาเท็กซ์ เพื่อติดรูป และลายไม้
ฟิล์มไมล่าร์ หนา 70-180 ไมครอน ขนาดใหญกว่าภาพอย่างน้อย 1 นิ้ว
ลูกกลิ้งใช้รีดรูปให้เรียบ และใช้ไล่ฟองอากาศในเรซิ่น
ถ้วยพลาสติก
ไม้กวน
มีดคัตเตอร์
ขอบข้าง มีลายไม้ และสีดำ เป็นสติกเกอร์ ใช้ติดด้านข้างรูป
ดิ้นทอง ใช้ตัดขอบรูป
ไขควง
น๊อต
หูขา
หูแขวน
ขาตั้งพลาสติก
กระดาษกาวย่น ขนาด 10 มิล หรือใหญกว่าด้านข้างแผ่นไม้
กระดาษทรายน้ำ เบอร์ 150
กาวกันซึม

การเตรียมอุปกรณ์

เตรียมรูป
รูปที่ใช้ในการทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
รูปที่สามารถเคลือบได้ เช่น รูปถ่าย
รูปที่ต้องการทาน้ำยากันซึมก่อนจึงจะเคลือบได้ เช่นรูปจากหนังสือนิตยาสาร ธนบัตร ใบประกาศนียบัตร รูปโปสเตอร์




การเตรียมไม้

ไม้ที่ใช้ติดรูปเพื่อทำกรอบวิทยาศาสตร์ ได้แก่ไม้ MDF หรือเรียกว่าไม้อัด มีความหนาตั้งแต่ 3 มม. ถึง 9 มม.
เลือกขนาดไม้ให้เหมาะสมกับรูป
ด้านบนหรือด้านข้างจะต้องเรียบไม่ขรุขระหรือเป็นหลุม

วิธีทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์
ติดกระดาษลายไม้กับไม้อัดทั้งสองด้านโดยทากาวที่ไม้อัดตลอดทั้งแผ่นให้เรียบและไม่หนาจนเกินไป นำกระดาษลายที่ตัด
ไว้มาติดลงบนแผ่นไม้โดยใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งให้เรียบและไม่มีฟองอากาศ ใช้คัตเตอร์ ตัดส่วนเกินจากไม้ให้ชิดขอบไม้ทุกด้าน
ติดเทปกระดาษย่นหรือเทปใส ที่ขอบของแผ่นไม้ ไม้อัดหนา 10 มม. โดยรอบให้ขอบเทปเสมอผิวด้านบนของแผ่นไม้ที่จะ
ติดรูปพับเทปส่วนเกินไว้ด้านหลังให้แนบติดผิวหน้าไม้ด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำยาเรซิ่นเกาะขอบไม้และไหลลงไปเปื้อนด้านหลังรูป
ทากาวลาเท็กซ์ ด้านหลังของรูปให้เสมอกันไม่ต้องมากจนเกินไปเพราะจะทำให้แห้งช้า (รูปที่นำไปทากาวควรรีดให้ตรงไม่โค้ง ถ้ามีขอบเยินควรใช้มีดคัตเตอร์แต่งให้เรียบร้อยก่อน)
ติดรูปที่ทากาวแล้วบนไม้อัดที่เตรียมไว้ ใช้ลูกลิ้งกลิ้งให้เรียบและไม่มีฟองอากาศ
ติดดิ้นเงินดิ้นทองรอบรูปทั้ง 4 ด้าน ตามต้องการควรติดให้ชิดขอบรูป
ทาน้ำยากันซึมในกรณีที่ไม่ใช่รูปถ่าย ทาน้ำยากันซึมควรทาประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งจะต้องทิ้งให้แห้งเสียก่อน
นำรูปที่เตรียมเรียบร้อยแล้ววางลงบนที่รองสูงจากพื้นประมาณ 1-2นิ้ว ควรปูกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำยาเรซิ่นเกาะที่ขอบไม้และไหลลงไปเลอะที่พื้น
เทเรซิ่นเคลือบรูป KC-288 ลงในถ้วยพลาสติกที่เตรียมไว้ประมาณ 30-40 ซีซี หยดตัวทำให้แข็งลงไปประมาณ 0.5% หรือประมาณ 3-4 หยด (เรซิ่นประมาณ 1 ซีซี ต่อพื้นผิว 7-8 ตร.ซ.ม.) ใช้ไม้กวนให้เข้ากัน โดยกวนบริเวณขอบถ้วยด้วยอย่ากวนนานเกินไปเรซิ่นจะเป็นวุ้นแข็งตัวเสียก่อน ไม่เกิน 1 นาที
ทิ้งเรซิ่นไว้ซักครู่ เพื่อให้ฟองอากาศลอยออก จึงเทเรซิ่นที่ผสมแล้วลงตรงกลางรูปนำแผ่นฟิล์ม ไมล่าร์ที่ขึงไว้กับเฟรม วางทับลงบนน้ำยาเรซิ่น แล้วใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งบนแผ่นฟิล์ม ให้น้ำยาเรซิ่นวิ่งไปจนไม่มีฟองอากาศ(การกลิ้งจากกลางรูปออกไปทั้ง 4 ด้าน และออกแรงกดพอประมาณ ใช้เวลาในการกลิ้งไม่ควรเกิน 6 นาที)
ทิ้งเรซิ่นให้แห้งสนิทประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือสังเกตุจากรซิ่นที่ย้อยติดด้านล่างดูจะแข็งคล้ายเม็ดข้าวสาร แห้ง หรือทดลองหยิกดูจะหยิกไม่แตก หากยังนิ่มแสดงว่ายังไม่แข็งพอ เมื่อเรซิ่นแข็งตัวแล้วให้ใช้ปากกาเมจิกสีดำทำเครื่องหมายที่มุมทั้งสี่ เพื่อที่จะได้นำฟิล์มไมล่าร์ไปใช้ในครั้งต่อไป ได้โดยสะดวกขึ้น
เมื่อเคลือบครั้งที่หนึ่งแล้วจะเคลือบอีกกี่ทีก็ได้ แต่ต้องใช้กระดาษทรายน้ำชนิดหยาบปานกลางเบอร์ 120-140 ลูบบริเวณขอบที่เป็นลายไม้ผิวหยาบ อย่าขัดบริเวณตรงกลางรูปเพื่อให้เรซิ่นเกาะติดแน่นกับ เรซิ่นที่เคลือบครั้งแรก ผิวที่ขัดจะกลายเป็นฝ้าสีขาวอย่าตกใจเพราะเมื่อเรซิ่นครั้งที่ 2 เคลือบทับลงไปจะใสเหมือนเดิม
ดึงเทปและเรซิ่นที่ติดขอบออก
ใช้กระดาษทรายชนิดหยาบปานกลางพันรอบแท่งไม้รูปสี่เหลี่ยมขัดขอบให้เรียบเสมอกัน ขณะขัดไม่ควรใช้นิ้วมือกดหรือจับผิวที่เคลือบเรซิ่น เพราะอาจเกิดรอยนิ้วมือได้อันเนื่องมาจากมือสกปรก (ทางที่ดีควรใช้กระดาษหรือเทปปิดทับผิวหน้าก่อนขัด)
ติดขอบข้างรอบรูปทั้ง 4 ด้านให้เรียบร้อย ทำความสะอาด
ติดขาตั้งหรือโซ่แขวนกับกรอบรูป

ข้อควรระวัง
ฮาร์ดเดนเนอร์ หรือตัวทำให้แข็ง ถ้าถูกผิวหนังควรใช้สบู่ล้างดีกว่าผงซักฟอก เพราะเป็นกรดชนิดหนึ่ง
น้ำยาเรซิ่นมีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 เดือน ไม่ควรเก็บไว้ที่ร้อนจัด ควรเก็บไว้ที่ทึบแสง อุณหภูมิประมาณ 20-30องศาเซลเซียส
การผสมเรซิ่นกับตัวทำให้แข็ง ถ้าอากาศร้อนควรลดปริมาณตัวทำให้แข็งลง ถ้าอากาศเย็นควรเพิ่มประมาณตัวทำให้แข็งมากขึ้น
การคนน้ำยาไม่ทั่วถึง จะทำให้เรซิ่นแข็งตัวผสมไม่เสมอกัน
การเก็บและทำความสะอาดแผ่นฟิล์มไมล่์าร์ ระวังอย่าให้แผ่นฟิล์มหักหรือเป็นรอย
รูปถ่ายที่เป็นกระดาษอัดรูป ยกเว้นกระดาษพิมพ์ต่างๆ ถ้าเปื้อนกาวหรือลอยนิ้วมือใช้ทินเนอร์เช็ดทำความ สะอาดได้ แต่อย่าให้ถูกกระดาษไม้เพราะจะทำให้กระดาษลายไม้ลอกทันที

ตัวอย่างวิธีการเขียนโครงงาน

ดาวน์โหลดตัวอย่างการเขียนโครงงาน

โครงงานจานดาวเทียมพอเพียง

บทที่ 1

บทนำ

แนวคิด ที่มาและความสำคัญของโครงงาน

จากการที่คณะผู้จัดทำได้เห็นวัสดุเหลือใช้ เช่น กระทะ ฝาหม้อ ที่ไม่ใช่แล้วภายในชุมชน นำมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ที่เห็นจานดาวเทียมมีลักษณะเช่นเดียวกับกระทะ  รวมทั้งการศึกษาหาความรู้จากสื่ออินเตอร์เน็ตได้เห็นคนนำมา

วัตถุประสงค์


เพื่อนำวัสดุเหลือใช้ในชุมชนมาทำให้เกิดประโยชน์ เพิ่มมูลค่า

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

จานดาวเทียมใช้เอง ซึ่งมีมูลค่าถูกกว่าท้องตลาด


ตัวแปรที่ศึกษา

1. ตัวแปรต้น กระทะ

2. ตัวแปรตาม ความสามารถในการรับสัญญาณดาวเทียม

3. ตัวแปรควบคุม ความโค้งของกระทะ องศา

สมมติฐานในการศึกษา

เมื่อทำกระทะให้มีลักษณะความโค้ง เว้าเหมือนจานดาวเทียมจะทำให้สามารถรับสัญญาณดาวเทียมได้


บทที่ 3

วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการดำเนินการ

วัสดุอุปกรณ์

1. กระทะที่ไม่ใช้แล้ว

2. รี

3. หัว

4. สายเคเบิล

5. หัวต่อ

6. เข็มทิศ

7. เขียง

8. ดินน้ำมัน

9. น๊อต

10. เหล็ก

11. ไขควง

12. ท่อพีวีซี

13. ไฟแช็ค

วิธีการเขียนเค้าโครงของโครงงาน

1. ให้นักเรียนเขียนเค้าโครงของโครงงานที่นักเรียนสนใจจะทำ ซึ่งมีหัวข้อ ดังนี้


1. ชื่อโครงงาน
2. ชื่อผู้ทำโครงงาน
3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน
4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
5. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า
6. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี)
7. วิธีดำเนินงาน
8. แผนปฏิบัติงาน
9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
10. เอกสารอ้างอิง


2. ให้นักเรียนนำเสนอเค้าโครงของโครงงานของกลุ่มนักเรียนบนเว็บ

3. ให้นักเรียนแต่ละคนแสดงความคิดเห็นว่าเค้าโครงของโครงงานของเพื่อนแต่ละกลุ่มมี

ความถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร บนเว็บ

   สรุป


เค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์

เค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ คือ โครงการเพื่อขอเสนอทำโครงงานวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

1. ชื่อโครงงาน

2. ผู้จัดทำโครงงาน

3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน

4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน

5. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน

6. สมมติฐานของการศึกษา

7. ขอบเขตของการทำโครงงาน

8. วิธีดำเนินการ

9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ

10. แผนการกำหนดเวลาปฏิบัติงาน

11. เอกสารอ้างอิง


1. ชื่อโครงงาน 
ชื่อโครงงานเป็นสิ่งสำคัญประการแรก เพราะชื่อโครงการจะช่วยโยงความคิดไปถึง
วัตถุประสงค์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และควรกำหนดชื่อโครงการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักด้วย 

การตั้งชื่อโครงงานของนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นิยมตั้งชื่อให้มีความกะทัดรัดและดึงดูดความสนใจจากผู้อ่าน ผู้ฟัง แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องเข้าใจปัญหาที่สนใจศึกษาอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่การเข้าใจวัตถุประสงค์ของการศึกษาอย่างแท้จริงด้วย เช่น 

โครงงานวิทยาศาสตร์ ชื่อ “ถุงพลาสติกพิชิตแมลงวันตัวน้อย” ซึ่งปัญหาเรื่องที่สนใจศึกษาคือถุงน้ำพลาสติกสามารถไล่แมลงวันที่มาตอมอาหารได้จริงหรือ จากเรื่องดังกล่าวผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ บางคนหรือบางคณะอาจสนใจตั้งชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ ว่า “การศึกษาการไล่แมลงวันด้วยถุงน้ำพลาสติก” หรือ “ผลการใช้ถุงน้ำพลาสติกต่อการไล่แมลงวัน” ก็เป็นได้ 

อย่างไรก็ตามจะตั้งชื่อโครงการในแบบใด ๆ นั้น ต้องคำนึงถึงความสามารถที่จะ
สื่อความหมายถึงวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจน

2. ผู้จัดทำโครงงาน 

การเขียนชื่อผู้รับผิดชอบโครงงาน เป็นสิ่งดีเพื่อจะได้ทราบว่าโครงงานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของใครและสามารถติดตามได้ที่ใด

3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน 

การเขียนชื่อผู้ให้คำปรึกษา ควรให้เกียรติยกย่องและเผยแพร่ รวมทั้งขอบคุณที่ได้ให้คำแนะนำการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จนบรรลุเป้าหมาย

4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 

ในการเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน ผู้ทำโครงงาน จำเป็นต้องศึกษา หลักการทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจจะศึกษา หรือพูดเข้าใจง่าย ๆ ว่าเรื่องที่สนใจจะศึกษานั้นต้องมีทฤษฎีแนวคิดสนับสนุน เพราะความรู้เหล่านี้จะเป็นแนวทางสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ 

- แนวทางตั้งสมมติฐานของเรื่องที่ศึกษา 

- แนวทางในการออกแบบการทดลองหรือการรวบรวมข้อมูล 

- ใช้ประกอบการอภิปรายผลการศึกษา ตลอดจนเสนอแนะเพื่อนำความรู้และ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ค้นพบไปใช้ประโยชน์ต่อไป 

การเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน คือ การอธิบายให้กระจ่างชัดว่าทำไม ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หากไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการเขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป 

ส่วนที่ 1 คำนำ : 

เป็นการบรรยายถึงนโยบาย เกณฑ์ สภาพทั่ว ๆ ไป หรือปัญหาที่มีส่วนสนับสนุนให้ริเริ่มทำโครงงานวิทยาศาสตร์ 

ส่วนที่ 2 เนื้อเรื่อง : 

อธิบายถึงรายละเอียดเชื่อมโยงให้เห็นประโยชน์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมี หลักการ ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องที่ศึกษา หรือการบรรยายผลกระทบ ถ้าไม่ทำโครงงานเรื่องนี้ 

ส่วนที่ 3 สรุป : 

สรุปถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามส่วนที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหา ค้นข้อความรู้ใหม่ ค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ให้เป็นไปตามเหตุผลส่วนที่ 1

5. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน 

วัตถุประสงค์ คือ กำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ การเขียนวัตถุประสงค์มีความสำคัญต่อแนวทาง การศึกษา ตลอดจนข้อความรู้ที่ค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ค้นพบนั้นจะมีความสมบูรณ์ครบถ้วน คือ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทุก ๆ ข้อ

6. สมมติฐานของการศึกษา 

สมมติฐานของการศึกษา เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงาน ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะทำให้เป็นการกำหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและรอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนคำตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว

7. ขอบเขตของการทำโครงงาน 

ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องให้ความสำคัญต่อการกำหนดขอบเขตการทำโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนตัวแปรที่ศึกษา 

1. การกำหนดประชากร และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ การกำหนดประชากรที่ศึกษาอาจเป็นคนหรือสัตว์หรือพืช ชื่อใด กลุ่มใด ประเภทใด อยู่ที่ไหน เมื่อเวลาใด รวมทั้งกำหนด กลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสมเป็นตัวแทนของประชากรที่สนใจศึกษา 

2. ตัวแปรที่ศึกษา การศึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ ส่วนมากมักเป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป การบอกชนิดของ ตัวแปรอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมทั้งการควบคุมตัวแปรที่ไม่สนใจศึกษา เป็นทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงานต้องเข้าใจ ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็น ตัวแปรตาม และตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรที่ต้องควบคุมเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการทดลอง ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง สื่อความหมายให้ผู้ฟังและ ผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน

8. วิธีดำเนินการ 

วิธีดำเนินการ หมายถึง วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการทำ โครงงาน ตั้งแต่เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการ ซึ่งประกอบด้วย 

1. การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา 

2. การสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล 

3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 

4. การวิเคราะห์ข้อมูล 

ในการเขียนวิธีดำเนินการให้ระบุกิจกรรมที่ต้องทำให้ชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง เรียงลำดับกิจกรรมก่อนและหลังให้ชัดเจน เพื่อสามารถนำโครงการไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง

9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 

ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ การคาดหวังถึงผลการดำเนินการตามโครงการ ในการเขียนต้องคาดคะเนเหตุการณ์ว่าเมื่อได้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์สิ้นสุดลง ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างไรและได้รับมากน้อยเพียงใด ผลที่ได้รับสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ศึกษา

10. แผนการกำหนดเวลาปฏิบัติงาน 

การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องกำหนดตารางเวลาดำเนินการทุกขั้นตอน เพราะ การทำตารางเวลาจะเป็นประโยชน์ให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นประโยชน์ต่อการติดตามประเมินผลการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน จนสิ้นสุดการทำโครงงานนั้น

11. เอกสารอ้างอิง 

เอกสารอ้างอิง คือ รายชื่อเอกสารที่นำมาอ้างอิงเพื่อประกอบการทำโครงงาน วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรเขียนตามหลักการ ที่นิยมกัน (การเขียนเอกสารอ้างอิง --> คลิกที่นี่)

________________________________________________________________________________

วิธีการทำโครงงาน


วิธีการทำโครงงาน

โครงงาน     คือ งานวิจัยเล็กๆ สำหรับ เป็นการแก้ปัญหา หรือข้อสงสัยโดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หากเนื้อหาหรือข้อสงสัยเป็นไปตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ใดจะเรียกว่าโครงงานกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ
การทำโครงงาน
1.       กำหนดปัญหา หัวข้อเรื่อง
2.       ตั้งสมมุติฐาน หรือคำตอบชั่วคราว
3.       ออกแบบการศึกษาค้นคว้า การทดลอง
4.       ลงมือปฏิบัติ
5.       สรุปผลโดยการจัดทำรายงานโครงงาน......อาจมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น.......
6.       นำเสนอผลงาน ประเมินผล
7.       จัดนิทรรศการ ส่งประกวด

หัวข้อการเขียนรายงานโครงการ
1.       โครงงานกลุ่มสาระการเรียนรู้..............เรื่อง..............
2.       ผู้จัดทำ............อาจารย์ที่ปรึกษา..............โรงเรียน.........สังกัด.......ระดับชั้น....
3.       บทคัดย่อ
4.       กิตติกรรมประกาศ
5.       บทที่ บทนำ ที่มาและความสำคัญของโครงงาน........วัตถุประสงค์........สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า......ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า........ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง........... (ถ้ามี)....
6.       บทที่ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำโครงงานเรื่องนี้
7.       บทที่ อุปกรณ์ วิธีดำเนินการศึกษา
8.       บทที่ 4 ผลการศึกษา และอภิปรายผล
9.       บทที่ สรุปผล ประโยชน์ ข้อเสนอแนะ
10.    เอกสารอ้างอิง
11.    หมายเหตุ ตัวอย่างโครงงานเป็นของนักเรียน จึงมีรูปแบบหลากหลายตามความสามารถของนักเรียนแต่ละระดับชั้น

_______________________________________________________________________________

ตัวอย่างโครงงานกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีโดยสรุป เรื่องหัวบุกผง



บทที่  1
บทนำ
แนวคิด ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
                      จากการที่คณะผู้จัดทำได้เห็นผู้ปกครองและชาวบ้านนำเอกหัวบุก ต้นบุกมาประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวและอาหารหวาน แต่หัวบุกก็ยังมีเหลืออยู่อีกมาก และไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงมีความคิดและได้ปรึกษากันว่า ถ้าหากเรานำเอาหัวบุกที่มีอยู่มาดัดแปลง หรือแปรรูปเป็น หัวบุกผง ด้วยกรรมวิธีง่ายๆ เพราะสามารถเก็บไว้ได้นานอีกทั้งยังคงคุณค่าของอาหารด้านโภชนาการ เพื่อเป็นการสะดวกที่จะนำไปใช้ได้หลายอย่าง

วัตถุประสงค์
1.       เพื่อแปรรูปหรือดัดแปลงหัวบุกที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.       เพื่อสามารถเป็นการประหยัดรายจ่ายและเป็นอาชีพเสริมของตนเองและครอบครัวได้
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.          ได้หัวบุกผงนำไปดัดแปลงเป็นอาหารและของขบเคี่ยวต่างๆ
2.          เป็นการประหยัดรายจ่ายและเป็นการประหยัดเวลา
3.          เป็นแนวทางในการทำกิจกรรมเสริมตามโครงการเสริมรายได้ระหว่างเรียน
4.          ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
5.          รู้จักการนำวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์และรู้จักการแปรรูปอาหาร

ตัวแปรที่ศึกษา
1.       ตัวแปรต้น หัวบุก
2.       ตัวแปรตาม หัวบุกผง
3.       ตัวแปรควบคุม ความแก่ของหัวบุก อุณหภูมิ เวลา

สมมติฐานในการศึกษา
                      นำหัวบุกที่อบสุกแล้วไปตากให้แห้ง แล้วนำไปปั่นให้ละเอียดเป็นผง สามารถนำไปเป็นส่วนผสมของอาหารหวานและของขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้

คำนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ
                      การอบ หมายถึง การทำให้สุกและสามารถนำไปรับประทานได้
                      อุณหภูมิ หมายถึง การทำให้ละเอียดเป็นผงโดยใช้เครื่องปั่น

บทที่ 2
ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการจัดทำโครงงานกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี คณะผู้จัดทำได้ศึกษาคุณสมบัติของหัวบุกประกอบการคิดค้นทดลองดังต่อไปนี้
ลักษณะของบุก
บุกเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีลำต้นแตกต่างกันออกไป บางต้นสูงใหญ่ บางต้นเล็ก ลำต้นจะเป็นสีขาวนวลและมีสีเขียวสลับกัน จะมีมากในฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายน-เดือนตุลาคมจากนั้นลำต้นจะค่อยๆ เหี่ยวและแห้งแต่ใต้ดินจะมีหัวบุกอยู่ ซึ่งหัวบุกนี้จะมีอายุแก่เต็มที่ประมาณเดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์ ต้นบุกแบ่งออกเป็น ชนิดด้วยกันและแต่ละชนิดจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1.                        บุกหนามหรือบุกป่า ลักษณะของบุกชนิดนี้ลำต้นจะมีหนามเล็กๆ ทั่วลำต้นและมียางซึ่งยางของบุกเมื่อถูกหรือจับจะมีอาการคัน บุกชนิดนี้ส่วนมากจะนำมาเป็นอาหารของสัตว์คือ หมูและดอกของบุกชนิดนี้นำมาประกอบหรือเป็นส่วนผสมของน้ำพริกมะกอกได้
2.                        บุกเกลี้ยง ลักษณะของบุกชนิดนี้ลำต้นจะเหมือนกันกับบุกหนามแต่จะผิดกันตรงลำต้นไม่มีหนาม แต่จะมียางลักษณะเดียวกันกับบุกหนาม เมื่อถูกหรือจับยางจะมีอาการคัน บุกชนิดนี้สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ทั้งคนและสัตว์ หรือที่นำมาแปรรูปสกัดเป็นบุกคอนยัคกี้
3.                        บุกเบือ ลักษณะของบุกชนิดนี้ลำต้นจะมีลักษณะเด่นคือ ไม่มีหนามและจะมีสีเขียวกับสีขาวนวลที่เจือจางกว่าบุกทั้งสองชนิดที่กล่าวมา บุกชนิดนี้จะนิยมปลูกกันตามบ้านเพราะจะใช้เป็นอาหารได้ตั้งแต่ต้นอ่อนจนถึงต้นที่แก่ สามารถนำมาแกงส้มหรือแกงเหลือง และหัวบุกยังสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารหวาน อาหารคาว และของขบเคี้ยวได้อีกด้วย
                      บุกทั้งสามชนิดที่กล่าวมานี้ ส่วนมากจะมีแถบภาคเหนือแต่ก็ไม่มีทุกจังหวัด จะมีมากเป็นบางจังหวัด และบุกทั้งสามชนิดจะมีลักษณะของลำต้น ใบ หัว ที่คล้ายกันมากที่สุด หากไม่สังเกตจะแยกไม่ออกว่าบุกชนิดใดที่เป็นบุกป่า บุกชนิดใดที่เป็นบุกเกลี้ยง และบุกเบือ
การถนอมอาหาร
         การถนอมอาหาร หมายถึง การทำให้อาหารอยู่ได้นานวัน รวมถึงการดัดแปลงหรือการแปรรูปอาหารด้วยกรรมวิธีต่างๆ โดยอาหารนั้นจะไม่สูญเสียคุณค่าและอยู่ได้นาน
หลักเกณฑ์การถนอมอาหาร
1.       ความสะอาดและการทำลายยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
2.       เลือกวิธีการถนอมอาหารให้เหมาะสมกับชนิดของอาหาร


วิธีการถนอมอาหารมีหลายวิธี
1.       การทำให้แห้ง โดยการตากแดด
2.       การเชื่อม
3.       การรมควัน
4.       การกวน
5.       การอบแห้ง
6.       การแช่อิ่ม และการบรรจุขวด
ประโยชน์ของการถนอมอาหาร
1.       ช่วยเก็บอาหารไว้ได้นานและมีอาหารไว้รับประทานนอกฤดูกาล
2.       ทำให้เกิดอาหารชนิดใหม่ขึ้น
3.       ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว


บทที่ 3
วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการดำเนินการ
วัสดุอุปกรณ์
1.       หัวบุกค่อนข้างแก่จัด
2.       เครื่องปั่น
3.       กระป๋องหรือขาดโหลมีฝาปิด
4.       มีดปอก
5.       ตะแกรงหรือเครื่องร่อนแป้ง
6.       ทัพพีหรือช้อน
7.       เขียง
8.       เตาอบ
9.       คีม
10.    มีดหั่น
11.    ถาดหรือกะละมัง

วิธีการดำเนินการ
1.       เลือกหัวบุกที่มีลักษณะค่อนข้างแก่จัดและหัวที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
2.       นำหัวบุกล้างน้ำเพื่อให้ดินที่ติดออกให้หมด
3.       นำหัวบุกปอกเปลือก  แล้วนำมาหั่น หรือฝานให้มีขนาดความหนาเท่าๆ กันเมื่อนำหัวบุกที่ผ่านไปอบจะทำให้หัวบุกสุกและมีสีเสมอกัน
4.       นำหัวบุกที่อบสุกแล้วไปอบในเตาอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส และใช้เวลาในการอบประมาณ 10 นาที
5.       นำหัวบุกที่อบสุกแล้วไปตากแดดหรือปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นเพื่อให้หัวบุกกรอบ เมื่อนำไปปั่นจะทำให้สะดวกและปั่นละเอียดเป็นผงง่ายขึ้น


บทที่ 4
ผลการศึกษาค้นคว้า
จากการทำโครงงานนี้ เมื่อนำหัวบุกมาแปรรูปเป็นหัวบุกผง คณะผู้จัดทำต้องนำหัวบุกมาปอกเปลือก แล้วนำมาหั่นหรือผ่านเป็นชิ้นที่มีความหนาเท่าๆ กัน หลังจากนั้นนำหัวบุกไปอบในเตาที่มีอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาในการอบ 10 นาที เมื่ออบสุกแล้วนำหัวบุกไปตากแดดอีกครั้งหนึ่ง
ตาราง แสดงผลการอบหัวบุก

รายการ
อุณหภูมิ(C •)
เวลา (นาที)
ผลของการอบ
หัวบุก
100

150
10

10
หัวบุกจะมีสีขาวนวลหรือสีครีม เมื่อนำหัวบุกไปปั่น หัวบุกจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่ละเอียดเท่าที่ควร
หัวบุกจะมีสีน้ำตาลอ่อนๆ หรือสีออกเหลืองอ่อนๆ เมื่อนำหัวบุกไปปั่น หัวบุกจะมีลักษณะเป็นผงละเอียดและมีสีน่ารับประทาน

                                จากตารางพบว่า ในการอบหัวบุกเราต้องใช้อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลา 10 นาทีจะได้หัวบุกที่มีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเหลืองอ่อน เมื่อนำไปปั่นแล้วจะเป็นผงละเอียดและมีสีสวยงาม


บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
สรุปผล
                การนำหัวบุกดิบมาแปรรูปเป็นผง โดยการใช้เตาอบสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเช่น
1.       สามารถเก็บหัวบุกไว้ได้เป็นระยะเวลานาน
2.       เป็นการถนอมอาหารวิธีหนึ่ง เพราะในช่วงฤดูฝนหัวบุกมีมากทำให้สูญเปล่าประโยชน์ และอีกประการหนึ่งไม่มีราคาและไม่มีตลาดรับรอง
อภิปรายผล
                จากผลการค้นคว้าและทดลอง จะเห็นได้ว่าหัวบุกสามารถนำมาแปรรูปเป็นหัวบุกผง ซึ่งมีรสชาติหอมอร่อยเหมาะที่จะนำไปเป็นส่วนผสมของขนมหวาน เช่น ขนมเปียกปูนขนมสอดไส้ ขนมเทียนไส้เค็ม ตะโก้ เม็ดขนุน หรือขนมบัวลอย และอาจนำไปเป็นส่วนผสมกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ประโยชน์ของโครงงาน
1.       สามารถแปรรูปอาหาร และได้สูตรใหม่ซึ่งมีรสชาติอร่อย
2.       สามารถเก็บไว้ได้นาน และยังคงคุณค่าของอาหารอยู่
3.       สามารถนำไปเป็นส่วนประกอบของขนมชนิดต่างๆ ได้
ข้อเสนอแนะ
1.       หัวบุกที่อบแห้งไหม้เกรียมไม่ควรนำมาทำเป็นหัวบุกผง เพราะอาจจะทำให้มีรสขม
2.       ในการอบหัวบุกควรปรับอุณหภูมิของเตาอบ หรืออาจจะลดเวลาที่ใช้ในการอบ (กรณีการหั่นบุกอาจจะบางเกินไป
3.       กรณีไม่มีเตาอบอาจจะใช้แสงแดดจากธรรมชาติในการทำให้แห้ง
4.       การทำโครงงานครั้งต่อไปอาจจะแปรรูปผักชนิดอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
ที่มา โครงงานเรื่องหัวบุกผง
จากโรงเรียนบ้านแม่กื้ดหลวงกัญไชยมิตรภาพที่ 182 จังหวัดตาก
ชนะการประกวดโครงงานครั้งที่ ปีการศึกษา 2544
ข้อแนะนำสำหรับรับนักเรียนในการเลือกเรื่องที่จะทำโครงงาน
                การเรียนรู้โดยกิจกรรมการทำโครงงาน เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงความสามารถและพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยเป็นไปตามธรรมชาติ ตามความถนัดและความสนใจ เน้นในเรื่องคุณธรรม และกระบวนการเรียนรู้อย่างมีขั้นตอน ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง สังคม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย ความรู้ และวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์ ด้านภาษา การประกอบอาชีพเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข การฝึกทำโครงงาน เพื่อการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทั้งเป็นการประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายของชุมชน นักเรียนจะได้เรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคมอย่างสมบูรณ์ สามารถประเมินผลการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการร่วมกิจกรรมตามความเหมาะสมกับวัย และระดับความสามารถของนักเรียน
                ฉะนั้น เมื่อนักเรียนได้ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนจากครูอาจารย์ผู้สอนแล้วนักเรียนจะต้องเป็นผู้คิดกำหนดหัวข้อโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าดำเนินการวางแผนออกแบบสำรวจทดลอง ประดิษฐ์ เก็บรวบรวมข้อมูล แปรผล สรุปผลและเสนอผลงานโดยตัวนักเรียนเอง ครูอาจารย์จะเป็นเพียงผู้ดูแลและให้คำปรึกษาเท่านั้นโครงการแรกที่นักเรียนได้ทำและประสบผลสำเร็จจะสร้างความมั่นใจ และเป็นแรงผลักดันให้นักเรียนทำโครงงานต่างๆ ไปได้ นักเรียนจึงควรเลือกโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนเอง ทั้งนี้เพราะการเริ่มต้นด้วยความสำเร็จย่อมเป็นการเริ่มต้นที่ดีเสมอ จึงขอแนะนำให้นักเรียนทำโครงงานประเภทสำรวจก่อน โครงงานประเภททดลองและประเภทสิ่งประดิษฐ์


บรรณานุกรม

สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ . การงานอาชีพและเทคโนโลยี ป.1 .สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จำกัด ,กรุงเทพ, 2550.

______________________________________________________________________________

ตัวอย่างปกโครงงาน

โครงงาน

เรื่องหัวบุกผง
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี

คุณครูที่ปรึกษา นายปรีชา จันทรเสนา

จัดทำโดย

1.      …………………………….. เลขที่...................
2.      …………………………….. เลขที่...................
3.      …………………………….. เลขที่...................
4.      …………………………….. เลขที่...................
5.      …………………………….. เลขที่...................
6.      …………………………….. เลขที่...................
7.      …………………………….. เลขที่...................
8.      …………………………….. เลขที่...................

ชั้น.....................................................................

โรงเรียนบ้านค้อดอนแคน

                                   สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานีเขต 3                  
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
กศน.แขวงบ้านพานถม 110 ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. 10200 โทรศัพท์ 0-2280-8348 โทรสาร 0-2280-8349 มือถือ 083-270-1720